เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดในสหรัฐฯ ชี้ความเชื่อมั่นของประชาชนชาวอเมริกันที่มีต่อรัฐบาลและนักการเมือง ลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ หลังความขัดแย้งทางการเมืองในสภาคองเกรสส์ระหว่างนักการเมืองพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ส่งผลให้สหรัฐฯ ต้องประสบภาวะชัตดาวน์ และเกือบผิดนัดชำระหนี้
ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดที่จัดทำโดยสถาบันวิจัย “พีว” ซึ่งมีฐานในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า ขณะนี้มีประชาชนชาวเพียง 19 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยังคงให้ความเชื่อถือไว้วางใจต่อรัฐบาลสหรัฐฯ และบรรดานักการเมืองในสภาคองเกรสว่าจะทำในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อปกป้องประเทศชาติและประชาชน และตัวเลขความเชื่อมั่นดังกล่าวที่ 19 เปอร์เซ็นต์นั้น ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนในเดือนมกราคมถึง 7 จุด
ความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันต่อรัฐบาลและนักการเมืองที่ลดลงอย่างสำคัญนี้ เป็นผลโดยตรงจากการที่บรรดานักการเมืองในสภาคองเกรสทั้งพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน ต่างงัดข้อขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจนไม่อาจบรรลุข้อตกลงด้านงบประมาณ ส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลกลางต้องประสบภาวะ “ชัตดาวน์” จนสร้างความเดือดร้อนให้กับบรรดาลูกจ้างภาครัฐที่ถูกพักงาน และประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถรับบริการจากภาครัฐได้ตามปกติ รวมถึงการที่สหรัฐฯ มีอันต้องเกือบผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรก จากความขัดแย้งของนักการเมืองในรัฐสภาในเรื่องการขยายเพดานก่อหนี้
ผลสำรวจยังพบว่า 55 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันรู้สึกผิดหวังและหมดความอดทนกับรัฐบาลสหรัฐฯส่วนอีก 73 เปอร์เซ็นต์รู้สึก “ไม่ปลื้ม” กับการทำหน้าที่ของบรรดานักการเมืองในสภาคองเกรส ที่ดูเหมือนสนใจแต่ผลประโยชน์ทางการเมือง มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจยังชี้ว่าราว 58 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันเชื่อว่า “ระบบการเมือง” ของประเทศนั้นมีประสิทธิภาพดีอยู่แล้ว แต่บรรดานักการเมืองต่างหากที่เป็นตัวการสำคัญของปัญหาความวุ่นวายต่างๆ
นอกจากนั้น ราว 62 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างยังระบุว่า พวกเขารู้สึกเห็นใจบรรดาลูกจ้างภาครัฐที่ได้รับผลกระทบจากภาวะชัตดาวน์ในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ 29 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าไม่รู้สึกเห็นใจเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับผลกระทบจากภาวะดังกล่าว
