เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - คณะนักวิจัยสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (18 ต.ค.) ออกมาโต้แย้งรายงานฉบับหนึ่ง ซึ่งระบุว่าโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือกำลังพัฒนาไปไกลเกินกว่าที่โลกจะควบคุมได้แล้ว และหลักฐานที่ยืนยันคำกล่าวเช่นนี้ คือการที่เกาหลีเหนือต้องสั่งซื้ออุปกรณ์เทคโนโลยีจากจีน
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นักวิชาการอเมริกัน 2 คนได้นำเสนอรายงานฉบับหนึ่งในการประชุมที่กรุงโซล ซึ่งชี้ว่าเกาหลีเหนือน่าจะสามารถสร้างอุปกรณ์สำคัญ อย่างเครื่องหมุนเหวี่ยงเพื่อเสริมสมรรถนะยูเรเนียมได้
โจชัว พอลแล็ก ผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ร่วมกับสกอตต์ เคมป์ นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์จากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) กล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการที่โลกออกมาตอบโต้เกาหลีเหนือ ด้วยการควบคุมการส่งออก คว่ำบาตร และคำสั่งห้ามอื่นๆ อาจเป็นการดำเนินการที่ไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถาบันวิทยาศาสตร์และความมั่นคงระหว่างประเทศ ที่มีฐานอยู่ในกรุงวอชิงตันกล่าวว่า บทวิเคราะห์ฉบับนี้ยังมีข้อบกพร่องหลายจุด และกล่าวย้ำว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเกาหลีเหนือที่ไม่ชัดเจน
สถาบันแห่งนี้เผยว่า ได้รับทราบมาว่าเมื่อล่าสุด เกาหลีเหนือเพิ่งนำเข้าสินค้าต้องห้าม อย่างเครื่องจักรกลซีเอ็นซี ที่มีไว้สำหรับควบคุมการทำงานของเครื่องจักรกลผ่านโปรแกรมรหัสตัวเลข มากจากประเทศจีน ซึ่งเป็นชาติพันธมิตรสำคัญของโสมแดง โดยสิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศนี้ยังไม่สามารถสร้างอุปกรณ์ที่ทันสมัยประเภทนี้เองได้ อีกทั้งทางสถาบันยังสงสัยด้วยว่า อุปกรณ์ดังกล่าวจะผลิตขึ้นในทวีปยุโรป
เดวิด อัลไบรต์ และโอลลี ไฮโนเนน ของสถาบันแห่งนี้ ได้กล่าวยกย่องความพยายามของเพื่อนนักวิชาการอย่าง พอลแล็ก กับ เคมป์ แต่ก็ระบุว่าหากมองข้ามหลักฐานทางเทคนิคอื่นๆ ไปข้อสรุปของพวกเขาก็ “จะดูไม่ถูกต้อง หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นคำกล่าวที่เกินจริง”
สถาบันดังกล่าวระบุว่า ข้อสรุปจากรายงานซึ่งระบุว่าการควบคุมการส่งออก และคว่ำบาตรเกาหลีเหนือจะไม่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป หรือไม่สามารถควบคุมไม่ให้เกาหลีเหนือจัดหาสินค้าผิดกฎหมายได้นั้น เมื่อมองในทางนโยบาย อาจทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมของความพยายามยับยั้งเกาหลีเหนือ
“อย่างไรก็ดี เรื่องที่มีความสำคัญเป็นลำดับแรกก็คือการเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่มาตรการเหล่านี้โดยอาศัยความร่วมมือจากประเทศจีน” สถาบันกล่าวทิ้งท้าย