เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดในยูเครน ที่มีการเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี (17) ระบุว่า มากกว่าครึ่งของชาวยูเครน คัดค้านแนวคิดเรื่องการใช้ “ภาษารัสเซีย” เป็นภาษาทางการภาษาที่ 2 ของประเทศ
ผลสำรวจดังกล่าวซึ่งจัดทำโดยกลุ่มเคลื่อนไหวอิสระด้านสังคมวิทยาที่ใช้ชื่อว่า “เรตติ้ง” พบข้อมูลว่า 43 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างชาวยูเครน “เห็นด้วย” หากจะมีการกำหนดให้ “ภาษารัสเซีย” เป็นภาษาราชการอีกภาษาหนึ่งของประเทศนอกเหนือไปจากภาษายูเครน
อย่างไรก็ดี กลุ่มตัวอย่างอีก 51 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่าครึ่งหนึ่ง คัดค้านแนวคิดดังกล่าว และมีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ที่ระบุว่ายังไม่ตัดสินใจในเรื่องนี้
ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญยูเครนฉบับปัจจุบันได้กำหนดให้ภาษายูเครนเป็นภาษาประจำชาติเพียงภาษาเดียวเท่านั้น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว ราวครึ่งหนึ่งของประชากรในยูเครนจะเป็นผู้ที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาหลักในชีวิตประจำวันก็ตาม ขณะที่รัฐบาลยูเครนได้กำหนดให้ภาษารัสเซียมีสถานะเป็นเพียง “ภาษาท้องถิ่น” ที่ใช้กันเฉพาะในชุมชนชาวรัสเซียในยูเครนเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อเดือนมีนาคม ซาเนตา จอนเซเม-เกรนเด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของลัตเวีย อดีตดินแดนส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตอีกแห่งหนึ่งได้ออกโรงเตือนพลเมืองชาวลัตเวีย ให้ละเว้นจากการพูดภาษารัสเซียในที่สาธารณะรวมถึงขอให้บรรดาคนดังในประเทศ ไม่ใช้ภาษารัสเซียในการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อแขนงต่างๆ โดยอ้างว่าจำเป็นต้องปกป้องภาษาลัตเวียที่เป็นภาษาประจำชาติ ทั้งที่ราว 44 เปอร์เซ็นต์ของประชากรลัตเวียจำนวน 2 ล้านคน เป็นผู้ที่ใช้ภาษารัสเซีย ขณะที่โรงเรียนต่างๆในลัตเวียก็มีการเรียนการสอนภาษารัสเซียควบคู่ไปกับภาษาลัตเวีย
ในอีกด้านหนึ่งประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินแห่งรัสเซียออกโรงกล่าวหารัฐบาลของหลายประเทศ ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอดีตสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะลัตเวีย เอสโตเนีย ว่ากำลังดำเนินนโยบาย “แบ่งแยก-กีดกัน” ชนกลุ่มน้อยชาวรัสเซียในประเทศของตน ผ่านมาตรการต่างๆ ทั้งการขัดขวางการใช้ภาษารัสเซีย รวมถึงการห้ามประชาชนเชื้อสายรัสเซียออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการกระทำที่เข้าข่ายละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างโจ่งแจ้ง
ทั้งนี้ ในปัจจุบันจำนวนประชากรที่พูดภาษารัสเซียในยูเครนมีจำนวนมากกว่า 8.3 ล้านคน ส่วนในลัตเวียและเอสโทเนียก็มีจำนวนประชากรเชื้อสายรัสเซียอาศัยอยู่กว่า 560,000 คนและ 324,500 คนตามลำดับ