xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus:ปรากฏการณ์ช็อกโลก เมื่อรัฐบาล US ประสบภาวะ “shutdown” หนแรกในรอบ 17 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในข่าวต่างประเทศที่ได้รับความสนใจมากที่สุดข่าวหนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ การที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (United States federal government ) บางส่วน จำเป็นต้องปิดทำการ หรือประสบภาวะที่เรียกว่า “shutdown” ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการปิดตัวครั้งแรกในรอบระยะเวลา 17 ปี


ปรากฏการณ์สุดช็อกดังกล่าว ซึ่งไม่ต่างจากฝันร้ายที่กลายมาเป็นความจริง บังเกิดขึ้นหลังจากสภาคองเกรสส์สหรัฐฯ ซึ่งประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรที่มีพรรค “รีพับลิกัน”ครองเสียงข้างมาก กับวุฒิสภาที่มีฝ่าย “ เดโมแครต” กุมอำนาจอยู่ ไม่สามารถประนีประนอม ยุติความขัดแย้งด้านงบประมาณกันได้ทันกำหนดเส้นตายในช่วงเที่ยงคืนวันจันทร์ ที่ 30 กันยายน ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีงบประมาณ 2012/13


สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การ “shutdown” เป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปีของรัฐบาลสหรัฐฯนั้น มาจากการที่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้เสนอร่างกฎหมายงบประมาณที่ให้มีการอัดฉีดงบรายจ่ายให้แก่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางตามยอดเดิมที่เคยได้ไปพลางก่อนจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคมปีนี้ แต่มีเงื่อนไขสำคัญว่า จะต้องมีการชะลอการบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญทางด้านสังคมที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาผลักดันมาโดยตลอด

และสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ วุฒิสภาสหรัฐฯที่มีพรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีโอบามา ครองเสียงข้างมากอยู่ ได้กระทำตามที่ประกาศกร้าวเอาไว้ นั่นคือ ไม่ยอมรับร่างงบประมาณฉุกเฉินที่เสนอโดยรีพับลิกัน จนนำไปสู่การที่หน่วยงานของรัฐบาลกลางต้องปิดตัวลงแบบไม่มีกำหนดในที่สุด


การ “shutdown” นี้มีผลให้ลูกจ้างที่ทำงานในหน่วยงานต่างๆของรัฐบาลอเมริกันกว่า 800,000 คน ต้องพักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน และเป็นการพักงานแบบไม่มีกำหนด ขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าชมอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์ และอุทยานแห่งชาติต่างๆทั่วสหรัฐฯได้ มีเพียงแค่บางหน่วยงานซึ่งถือว่ามีภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งและไม่อาจหยุดทำการได้ เช่น หน่วยงานที่รับผิดชอบการควบคุมการจราจรทางอากาศเท่านั้น ที่ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนับจากวันที่ 1 ตุลาคม ขณะที่กระทรวงต่างๆ รวมถึงทำเนียบขาว เหลือเพียงพนักงานหลักๆ จำนวนน้อยที่มาทำงานตามปกติ


แฮร์รี รีด ผู้นำเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐฯ ประกาศว่าการกระทำของพรรครีพับลิกันเช่นนี้ ไม่ต่างจากการก่อการร้าย ที่มีประชาชนชาวอเมริกันตกเป็น “ตัวประกันทางการเมือง” สอดคล้องกับถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโอบามาระบุว่า พรรครีพับลิกันจับชาวอเมริกันเป็นตัวประกัน เพียงเพื่อต้องการแลกเปลี่ยนกับข้อเรียกร้องของกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้วอย่างพวก “ที ปาร์ตี้”ในพรรคของตัวเอง ที่มีจุดยืนคัดค้าน “โอบามาแคร์” แบบหัวชนฝา จนส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯต้องปิดทำการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996

ทว่า จอห์น เบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน ตอบโต้กลับว่า พรรคของตนไม่ได้ต้องการให้หน่วยงานรัฐปิดทำการ แต่การบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” นั้นจะทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อเศรษฐกิจ สังคม และงบประมาณของประเทศ ทั้งยังกล่าวหาโอบามาว่าไม่ยอมเจรจาอย่างสุจริตใจ

โดยรวมแล้ว การ shutdown ของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯครั้งนี้ถือเป็นวิกฤตรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในศึกชิงไหวชิงพริบระหว่างประธานาธิบดีโอบามากับบรรดาส.ส.ฝ่ายรีพับลิกันเกี่ยวกับขนาด และบทบาทรัฐต่อชีวิตประจำวันของประชาชน

หลายฝ่ายหวั่นเกรงว่าการ shutdown ครั้งนี้อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่หลังเพิ่งเผชิญการถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี ขณะที่นักวิเคราะห์จากหลายสำนักระบุตรงกันว่า หากสถานการณ์การปิดตัวของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯครั้งนี้ยืดเยื้อนาน 2 สัปดาห์ จะมีผลทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองลุงแซมในปีนี้ หายไปทันที “0.3 เปอร์เซ็นต์”


ขณะเดียวกัน การปิดหน่วยงานรัฐ ยังจะส่งผลร้ายแรงต่อบรรดาลูกจ้างภาครัฐที่ถูกพักงาน ซึ่งอาจต้องนำเงินออมมาใช้ ระงับการจ่ายหนี้บ้าน ผิดนัดการผ่อนรถ และค่าใช้จ่ายอื่นๆในชีวิตประจำวัน ขณะที่ภารกิจทางการทหารของสหรัฐฯ ในต่างแดนก็ถูกปกคลุมด้วย “เมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอน” และส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของสหรัฐอเมริกาในสายตาชาติพันธมิตรอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้

นอกจากนั้นยังมีแนวโน้มว่า ตลาดการเงินทั่วโลกอาจประสบภาวะผันผวนหนักยิ่งขึ้น หากนักการเมืองสหรัฐฯทั้ง 2 พรรคยังหาทางออกจากวิกฤต shutdown ครั้งนี้ไม่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะหากยิ่งนานไปสถานการณ์ก็ดูจะยิ่งซับซ้อน เนื่องจากใกล้ถึงเวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯต้องขอให้สภาคองเกรสส์อนุมัติการ “ขยายเพดานก่อหนี้” โดยที่ทางฝ่ายรีพับลิกันเองก็เตรียมตั้งป้อมเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโอบามายอมอ่อนข้อในเรื่องโอบามาแคร์เป็นการแลกเปลี่ยนเช่นเดียวกัน

และหากนักการเมืองในสภาคองเกรสส์ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องขยายเพดานหนี้ สหรัฐฯซึ่งถูกยกให้เป็นชาติมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกก็มีหวังต้อง “ผิดนัดชำระหนี้” เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะถือเป็นวิกฤตที่เลวร้ายเป็นเรื่องที่สองต่อจากการ “shutdown”

ขณะที่ ผลสำรวจความคิดเห็นที่จัดทำโดยรอยเตอร์/อิปซอส ระบุว่า ชาวอเมริกันร้อยละ 24 โทษนักการเมืองพรรครีพับลิกันว่าเป็นต้นเหตุของการปิดหน่วยงานรัฐบาลครั้งนี้, ส่วนร้อยละ 19 คิดว่าเป็นความผิดของโอบามาและพรรคเดโมแครต ขณะที่ร้อยละ 46 เชื่อว่าเป็นความผิดของ “ทุกฝ่าย” ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางการเมืองโดยเอาประชาชนเป็น “ตัวประกัน”
กำลังโหลดความคิดเห็น