รอยเตอร์ – นักท่องเที่ยวชาวจีนกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวในต่างแดนมากขึ้นเรื่อยๆ และจุดหมายปลายทางซึ่งพวกเขาระบุว่าใฝ่ฝันที่จะมาเยี่ยมชม 20 อันดับแรกนั้น ก็กำลังได้รับความนิยมอย่างพุ่งพรวด “ทริปแอดไวเซอร์” เว็บไซต์สำหรับนักท่องเที่ยวชื่อดังสัญชาติอเมริกันระบุวันนี้ (24 ก.ย.)
ทริปแอดไวเซอร์กล่าวว่า ข้อมูลจากการสืบค้นของลูกค้าชี้ให้เห็นว่า ผู้คนจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงรักการเดินทางไปดินแดนใกล้เคียงอย่างฮ่องกง และมาเก๊า เพื่อไปเปลี่ยนบรรยากาศและชอปปิ้ง แต่สำหรับวันหยุดติดต่อกันหลายวัน พวกเขาจะเลือกสิ่งที่ดูท้าทายมากขึ้นด้วยการท่องเที่ยวในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกาเหนือ
“นักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่เริ่มตัดสินใจว่าจะเดินทางไปประเทศอะไร พักที่ไหน และทำกิจกรรมแบบไหน ด้วยการค้นคว้าผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยตนเอง เป็นการก้าวข้ามการท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ ที่ต้องไปไหนมาไหนด้วยรถบัส ซึ่งชาวจีนมักถูกเหมารวมว่าจะต้องทำแบบนั้น”
ฮ่องกงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม โดยมีชาวจีนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาเดียวกันนี้ในปี 2012 ทริปแอดไวเซอร์ระบุ
หาดภูเก็ต ของไทย ได้รับความนิยมเป็นอันดับสอง โดยมีชาวจีนสืบค้นข้อมูลมากกว่าในปีที่แล้ว 3.5 เท่า ขณะที่ไต้หวันตามมาเป็นอันดับ 3 (แถมยังเพิ่มขึ้น 4.5 เท่าทีเดียว) กรุงเทพมหานคร อันดับ 4 (เพิ่มขึ้น 3.7 เท่า) และปารีส อันดับ 5 (เพิ่มขึ้น 4.6 เท่า)
สำหรับสถานที่อื่นๆ ที่ชาวจีนอยากไปเที่ยวเป็น 20 อันดับแรกยังมีดังเช่น ดูไบ โซล สิงคโปร์ เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย โรม นิวยอร์ก และลอนดอน
ส่วนจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากที่สุด 4 แห่ง โดยมีผู้สืบค้นข้อมูลเพิ่มจากปีที่แล้วถึง 6 เท่า คือ เกาะเจจู ในเกาหลีใต้ จังหวัดเกียวโต ของญี่ปุ่น เมืองโกตากินาบาลู ในมาเลเซีย และฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม
ขณะที่การใช้จ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยวกำลังเติบโตขึ้นทั่วโลก แต่นักท่องเที่ยวชาวจีนคือผู้บริโภคที่ใช้จ่ายอย่างใจป้ำมากที่สุด และเป็นตลาดเป้าหมายใหญ่ของเจ้าของกิจการโรงแรม ร้านค้า และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ
นักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์ชี้ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาว่า อัตราการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้เพิ่มขึ้น 22 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบช่วง 3 เดือนแรกของปีที่เพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวทั่วโลกเติบโตขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์
เมื่อปี 2012 ชาวจีนกว่า 83 ล้านคนพากันเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าภายในปี 2020 ตัวเลขจะทะยานขึ้นสู่ 200 ล้านคน นอกจากนั้น การใช้จ่ายเงินเพื่อการเดินทางในต่างแดนของชาวจีนในปี 2012 นั้นยังถือว่าสูงที่สุดในโลกคือ 1.02 แสนล้านดอลลาร์ ตามข้อมูลขององค์การการท่องเที่ยวโลก ขององค์การสหประชาชาติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเม็ดเงินนี้จะน่าดึงดูดใจ แต่พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีน เป็นต้นว่า การขากเสมหะ การส่งเสียงดังในที่สาธารณะ และการขีดเขียนชื่อตนเองทิ้งไว้ตามอนุสาวรีย์ต่างๆ ทำให้ชาวต่างชาติต่างรู้สึกขุ่นเคืองใจ อีกทั้งทำให้คนจีนเองรู้สึกขยะแขยง และพากันวิพากษ์วิจารณ์
ความรู้สึกอับอายเพราะพฤติกรรมแย่ๆ เหล่านี้ได้กระตุ้นให้บรรดาสมาชิกอาวุโสของรัฐบาลจีนออกมากล่าวตำหนิ เนื่องจากรัฐบาลต้องการจะสร้างภาพลักษณ์ของชาวจีนว่าเป็นคนอ่อนโยน และมีวัฒนธรรม อันแสดงถึงพลังแห่งความมั่งคั่งจนทำให้ชาติอื่นๆ ต้องการลงทุนด้วย