ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในข่าวที่ช็อกโลกมากที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ข่าวอดีตทหารกองหนุนอเมริกันผู้มีนามว่า “แอรอน อเล็กซิส” วัย 34 ปีก่อเหตุกราดยิงในฐานทัพเรือ “Washington Navy Yard” ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงวอชิงตันดี.ซี. เมื่อวันจันทร์ (16) ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น สังหารเหยื่อไปเบ็ดเสร็จ 12 คน และยังทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 8 คน ก่อนที่คนร้ายจะถูกตำรวจวิสามัญในเวลาต่อมา
จนถึงขณะนี้ทางสำนักงานสืบสวนสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ “เอฟบีไอ” ที่เป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า แอรอน อเล็กซิส มือปืนผู้ก่อเหตุ มีแรงจูงใจใดในการกราดยิงครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นเหตุสะเทือนขวัญที่สุดที่เกิดขึ้นในที่ตั้งทางทหารของเมืองลุงแซม นับตั้งแต่เกิดโศกนาฏกรรมในเดือนพฤศจิกายนปี 2009 ที่พันตรีนิดาล ฮาซาน นายทหารแห่งกองทัพสหรัฐฯ ก่อเหตุกราดยิงเพื่อนทหารในค่ายฟอร์ทฮูด มลรัฐเทกซัส จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 13 คน และบาดเจ็บอีก 33 คน
หลังเกิดเหตุ บรรดาสื่อมวลชนแขนงต่างๆทั่วสหรัฐฯต่างพากันขุดคุ้ยประวัติของ “มือปืนเนวียาร์ด”ที่ถูกระบุว่า เป็นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และพบข้อมูลว่า คนร้ายที่ถูกปลิดชีพไปแล้วรายนี้ ได้หันมานับถือ “ศาสนาพุทธ”และมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับ “วัฒนธรรมไทย” อีกทั้งยังมีเพื่อนเป็นคนไทยหลายคน
ข้อมูลจากสื่อหลายสำนักในสหรัฐฯระบุตรงกันว่า อเล็กซิสหันมาปลื้มวัฒนธรรมไทยเป็นพิเศษ และยังหัดเรียนภาษาไทย รวมถึงเคยทำงานที่ร้านอาหารไทย “Happy Bowl” ในเมืองฟอร์ทเวิร์ธ รัฐเทกซัสเมื่อปี 2008 นอกจากนั้น ยังมีผู้ที่พบเห็นเขาเข้าไปไหว้พระในวัดไทยหลายต่อหลายครั้งขณะยังมีชีวิตอยู่
แต่ในขณะเดียวกันก็พบข้อมูลว่าเขาเป็นผู้ที่มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ตลอดจนเคยปรับทุกข์กับคนใกล้ชิดถึงปัญหาเรื่องการทำงานในกองทัพเรือที่ไม่ก้าวหน้า และการตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติในกองทัพ อีกทั้งยังเคยมีปัญหาด้านวินัยระหว่างรับราชการทหารในปี 2007-2011
เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (16) เวลาประมาณ 8.20 น. ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ณ อาคารซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่หน่วยงานซ่อมบำรุงทางเรือของกองทัพเรือสหรัฐฯ ภายในบริเวณที่เรียกว่า “เนวียาร์ด” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีระบบการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด และอยู่ห่างจากทำเนียบขาวไม่ถึง 6.5 กิโลเมตร รวมถึงอยู่ห่างจากอาคารที่ทำการสภาคองเกรสส์เพียง 3.2 กิโลเมตร
โดยตำรวจเดินทางถึงที่เกิดเหตุหลังจากได้รับแจ้งเหตุเพียง 3 นาที และข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเผยว่าอเล็กซิสพกปืนเข้าไปก่อเหตุกราดยิงรวม 3 กระบอกคือ ปืนไรเฟิลแบบเออาร์-15, ปืนสั้นชนิดลำกล้องแฝด และปืนพกที่ชิงมาจากตำรวจบริเวณที่เกิดเหตุ
ด้านวาเลรี พาร์ลาฟ หัวหน้าสำนักงานภาคสนามในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของเอฟบีไอออกมาเปิดเผยว่า อเล็กซิสมีบัตรผ่านเข้าสู่เนวียาร์ด เนื่องจากเขาเป็นพนักงานสัญญาจ้างของ “ดิ เอ็กซ์เพิร์ตส์” ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสัญญาของบริษัทไอทีชื่อดังอย่าง “ฮิวเล็ตต์-แพ็คการ์ด” หรือ “เอชพี” ที่รับผิดชอบการปรับปรุงระบบอินทราเน็ตภายในกองทัพเรือและหน่วยนาวิกโยธินอเมริกัน
ขณะที่ตัวอเล็กซิสเองก็เคยเป็นทหารกองหนุนเต็มเวลาของกองทัพเรือสหรัฐฯ นานกว่า 5 ปี ก่อนจะถูกปลดประจำการในตำแหน่งสุดท้ายคือ ช่างเทคนิคการบินยศจ่าตรี ที่เมืองฟอร์ทเวิร์ธ ในมลรัฐเทกซัส
การกราดยิงครั้งนี้ยังจุดชนวนให้เกิดการโต้เถียงกันอีกครั้งในสหรัฐฯเกี่ยวกับ ความจำเป็นของการควบคุมอาวุธปืน โดยทางประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ประณามการกราดยิงครั้งนี้ว่า เป็นการกระทำของคนขี้ขลาด
อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่า การผลักดันกฎหมายควบคุมอาวุธปืนในสหรัฐฯดูจะเป็นงานที่หนักหนาและยากยิ่ง สำหรับโอบามา ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากนักการเมืองสายอนุรักษ์นิยมและกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ด้านอาวุธปืน ซึ่งทรงอิทธิพลอย่างยิ่งในเวทีการเมืองอเมริกัน
ในขณะเดียวกันเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นยังส่งผลให้ทางกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือ“เพนตากอน” ต้องประกาศทบทวนมาตรการรักษาความปลอดภัยในเขตที่ตั้งทางทหารของสหรัฐฯทั่วโลกในทันที หวั่นเกิดเหตุร้ายซ้ำรอยทั้งที่ฟอร์ทฮูด มลรัฐเทกซัส และเหตุการณ์ล่าสุดที่เนวียาร์ดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.