เอเอฟพี - นักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมประกาศวัน "เอิร์ธ โอเวอร์ชูต เดย์" (Earth Overshoot Day) ซึ่งถือเป็นวันที่มนุษยชาติใช้ทรัพยากรเท่าที่โลกจะผลิตได้ใน 1 ปีจนหมดเกลี้ยง พร้อมกล่าวหาจีน, สหรัฐฯ และกาตาร์ ว่าเป็นตัวการหลักในการผลาญทรัพยากรของโลก วันนี้(20)
“แค่เพียง 8 เดือนเท่านั้น แต่มนุษย์เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปมากพอๆ กับที่ธรรมชาติต้องใช้เวลาสร้างทั้งปี” องค์กร Global Footprint Network ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยนานาชาติที่ศึกษาด้านการใช้ทรัพยากร ระบุในเอกสารประชาสัมพันธ์
“ต่อจากนี้จะถือว่าเราใช้ทรัพยากรเกินลิมิต ภาวะขาดสมดุลทางนิเวศจะยังเกิดขึ้นต่อไป หากเรายังจับปลาจากมหาสมุทร, ตัดต้นไม้ หรือใช้ทรัพยากรธรรมชาติด้านอื่นๆ รวมไปถึงปลดปล่อยของเสีย เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกสู่ชั้นบรรยากาศ”
องค์กรแห่งนี้ชี้ว่า จะต้องใช้โลกถึง "1 ใบครึ่ง" จึงจะเพียงพอต่ออัตราการบริโภคของมนุษย์ในปัจจุบัน และภายในกลางศตวรรษนี้ ความต้องการใช้ทรัพยากรจะเพิ่มขึ้นเท่ากับ "โลก 2 ใบ" ทีเดียว
จากการประเมินปี 2012 Global Footprint Network พบว่า กว่าร้อยละ 80 ของประชากรโลก 7,000 ล้านคน อาศัยอยู่ในประเทศที่ใช้ทรัพยากรเกินระดับที่ธรรมชาติจะสร้างขึ้นมาตอบสนองได้ และประชากรโลกนั้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มเป็น 9,000 ล้านคนภายในปี 2050
หากพิจารณาเป็นรายประเทศ จีนมีรอยเท้าทางนิเวศ (ecological footprint - ขนาดพื้นที่บนโลกที่ใช้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางวัตถุดิบทั้งหมด) เล็กกว่ายุโรปและอเมริกาเหนือเมื่อเทียบต่อหัวประชากร แต่รอยเท้านิเวศน์ของจีนกลับ "หนัก" ที่สุดในโลก เพราะมีประชากรมากที่สุด
หากประชากรทั้งโลกเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เหมือนชาวจีน ความต้องการทรัพยากรจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 เท่าของขนาดโลกปัจจุบัน
“ความต้องการใช้ทรัพยากรต่อหัวในประเทศอื่นๆยิ่งสูงไปกว่านั้นอีก หากทุกคนใช้ชีวิตแบบชาวอเมริกันในปัจจุบัน อาจจะต้องมีโลกถึง 4 ใบจึงจะตอบสนองได้พอ” รายงานระบุ
“และถ้าเราใช้ชีวิตแบบชาวกาตาร์กันหมด อาจต้องมีโลกถึง 6 ใบครึ่งจึงจะพอเพียง ”
จากการคำนวนตัวเลขโดยละเอียด Global Footprint Network ระบุว่า โลกของเราเริ่มตกอยู่ในภาวะขาดดุลทางนิเวศครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ปี 1970
องค์กรแห่งนี้ได้ยกให้วันที่ 22 สิงหาคม เป็นวัน เอิร์ธ โอเวอร์ชูท เดย์ สำหรับปี 2012 แต่จากการคำนวณใหม่พบว่า วันที่น่าจะตรงมากที่สุดคือ 23 สิงหาคม
