รอยเตอร์ - เครือข่ายอัลกออิดะห์ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุโจมตีเรือนจำ 2 แห่งในอิรัก เมื่อวันจันทร์ (22) ซึ่งทำให้กลุ่มติดอาวุธที่ถูกคุมขังหลบหนีไปได้กว่า 500 คน และนับเป็นการแหกคุกที่อุกอาจที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของอิรัก
กลุ่มรัฐอิสลามแห่งอิรักและดินแดนตะวันออก (The Islamic State of Iraq and the Levant) ซึ่งเป็นการรวมตัวระหว่างอัลกออิดะห์ในอิรักและซีเรีย ออกมายืนยันว่า พวกเขาได้บุกเรือนจำอาบูกราอิบในกรุงแบกแดด และเรือนจำเมืองทาจีซึ่งอยู่ห่างออกไปทางเหนือราว 20 กิโลเมตร โดยตระเตรียมการมานานหลายเดือน
ถ้อยแถลงของกลุ่มก่อการร้ายระบุว่า เหตุโจมตีดังกล่าวเกิดตรงกับวันครบรอบ 1 ปีที่ อาบูบาการ์ อัล-บักดาดี ผู้นำอัลกออิดะห์ในอิรัก ริเริ่มปฏิบัติการ “ทลายกำแพง” ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อปลดปล่อยสมาชิกกลุ่มติดอาวุธเป็นอิสระ
เครือข่ายอัลกออิดะห์กลุ่มนี้อ้างว่า พวกเขาใช้มือระเบิดฆ่าตัวตายและระเบิดรถยนต์ 12 คันสังหารเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและหน่วยกลยุทธ์และอาวุธพิเศษ (SWAT) ไปได้ถึง 120 นายที่เรือนจำทาจีและเรือนจำอาบูกราอิบ ซึ่งแห่งหลังนี้เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวเมื่อ 10 ปีก่อน หลังมีผู้นำภาพถ่ายทหารสหรัฐฯ ทารุณกรรมนักโทษออกมาตีแผ่
อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยอิรักและแหล่งข่าวการแพทย์แถลงว่า มีตำรวจและทหารเสียชีวิตเพียง 29 นาย และบาดเจ็บอีก 36 นาย
ด้านนายกรัฐมนตรี นูรี อัล-มาลิกี แห่งอิรัก กล่าวหาว่ากลุ่มติดอาวุธที่บุกทลายเรือนจำทั้ง 2 แห่งมีความเชื่อมโยงกับ ม็อกตาดา อัล-ซัดร์ ครูสอนศาสนาชาวชีอะห์ผู้มีแนวคิดต่อต้านอเมริกา และเป็นคู่แข่งตัวฉกาจของเขาเอง
“หน่วยรักษาความปลอดภัยในเรือนจำอาบูกราอิบมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธ พวกมันสมคบคิดกัน และพวกมันนั่นเองที่เปิดประตูรับคนร้าย” มาลิกี แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ
แม้กรณีนักโทษแหกคุกจะไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับอิรัก แต่การบุกเรือนจำครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ (22) ก็ทำให้นักการเมืองหลายคนอดวิจารณ์ไม่ได้ว่า รัฐบาล มาลิกี ไร้ประสิทธิภาพในการควบคุมสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศซึ่งเริ่มตกต่ำลงมาตั้งแต่ปลายปี 2012