บีบีซีนิวส์ - วัยรุ่นผิวดำและชาวเอเชียมีแนวโน้มที่จะสมัครเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษากันมากกว่าคนหนุ่มสาวผิวขาวในอังกฤษ สำนักงานรับเข้าศึกษาต่อ “ยูคาส” ระบุ
ผลการวิเคราะห์ใบสมัครเข้าศึกษาต่อยังชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลายประการภายในสหราชอาณาจักรอย่างชัดเจน เป็นต้นว่า วัยรุ่นในไอร์แลนด์เหนือเป็นกลุ่มซึ่งต้องการเรียนต่อมากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับวัยรุ่นในเขตการปกครองอื่นๆ อย่างอังกฤษ สกอตแลนด์ และเวลส์
เฉพาะภายในเขตปกครองอังกฤษ วัยรุ่นในกรุงลอนดอนเป็นกลุ่มที่มองหาที่เรียนต่อมากที่สุดเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นในเขตปกครองนี้
ในแต่ละเขตปกครองมี “ความแตกต่างของผู้ที่ประสงค์จะเข้าศึกษาต่ออย่างเห็นได้ชัด” แมรี เคอร์นอค คุก ผู้อำนวยการสำนักงานยูคาสเผย
โดยภาพรวมชี้ให้เห็นว่ามีประชากรวัยรุ่นที่มีแนวโน้มระยะยาวที่จะเรียนต่อระดับปริญญาตรีกันมากขึ้น ซึ่งดูจะเป็นการกระเตื้องขึ้นจากที่เคยลงต่ำสุดภายหลังมีการขึ้นค่าเล่าเรียน
อย่างไรก็ตาม การที่วัยรุ่นคนหนึ่งจะสมัครเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่สำคัญหลายประการด้วยกัน เป็นต้นว่า ภูมิหลังทางสังคม เพศ ชาติพันธุ์ และถิ่นที่อยู่
ในเขตการปกครองอังกฤษ วัยรุ่นชนกลุ่มน้อยต่างสมัครเรียนต่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะบรรดาวัยรุ่นผิวสี โดยเพิ่มขึ้นจาก 20 เปอร์เซ็นต์ เป็น 34 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี 2006 ถึงปี 2013 ขณะที่ผู้ที่ยื่นใบสมัครมากที่สุดคือนักเรียนจีน ตามมาด้วยชาติเอเชียอื่นๆ ทว่าวัยรุ่นผิวขาวกลับเป็นกลุ่มที่ยื่นใบสมัครน้อยที่สุดคือ 29 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
“จากการวิเคราะห์ใบสมัครเข้าศึกษาต่อของชนกลุ่มน้อยครั้งล่าสุดนี้ พบว่านักเรียนผิวขาวที่จบการศึกษาจากโรงเรียนในอังกฤษมีอัตราการส่งใบสมัครต่ำสุด เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มอื่นๆ ขณะที่คำขอเข้าศึกษาต่อของนักเรียนผิวดำกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน” เคอร์นอค คุก ประธานฝ่ายบริหารของสำนักงานยูคาสเผย
ทางด้าน นิโคลา แดนดริดจ์ ผู้อำนวยการอุดมศึกษาของสหราชอาณาจักรกล่าวว่า ตัวเลขนี้ชวนให้รู้สึกสงสัยว่า “เหตุใดวัยรุ่นผิวขาวที่ด้อยโอกาสจึงมีแนวโน้มที่จะไม่ยื่นใบสมัครศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษากันมากขึ้น”
“เป็นสิ่งสำคัญมากที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องขยายโอกาสทางการศึกษาให้นักเรียนที่ด้อยโอกาสต่อไป เพื่อรับประกันว่าทุกคนที่มีความสามารถและมีศักยภาพที่จะได้รับประโยชน์จากการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย จะมีโอกาสได้เรียนต่อ” เธอแถลง
แม้ว่าจะมีวัยรุ่นจากครอบครัวที่มีรายได้ต่ำที่สุดยื่นใบสมัครขอศึกษาต่อกันเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่มากระหว่างวัยรุ่นที่มาจากภูมิหลังทางสังคมต่างๆ
ทั้งนี้ วัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในย่านรวยที่สุดนั้น มีแนวโน้มที่จะสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มากกว่าวัยรุ่นที่อยู่ในพื้นที่ยากจนที่สุดกว่า 4 เท่า ส่วนนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนที่มีอาหารฟรีให้รับประทานสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เมื่อเทียบกับเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
เพศก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออัตราการสมัครเข้าศึกษาต่อเช่นกัน โดยเพศหญิงมีแนวโน้มว่าจะเรียนต่อกันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อปี 2012 ในเขตปกครองอังกฤษมีวัยรุ่นหญิงถึง 49 เปอร์เซ็นต์ที่ตัดสินใจสมัครเข้าศึกษาต่อในอังกฤษ เมื่อเทียบกับเพศชายที่มีเพียง 38 เปอร์เซ็นต์
เลส เอ็บดอน ผู้อำนวยการสำนักงานความเท่าเทียมในโอกาสทางการศึกษาแสดงความยินดีในข้อเท็จจริงที่ว่า ช่องว่างในการเข้าศึกษาต่อระหว่างกลุ่มคนที่รวยที่สุดและจนที่สุดเริ่มแคบลง
อย่างไรก็ตาม สำนักงานอุดมศึกษาของสหราชอาณาจักร ก็ย้ำเตือนว่าตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้รวมถึงใบสมัครที่มาจากกลุ่มผู้ใหญ่ และนักศึกษาระบบพาร์ตไทม์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากค่าเล่าเรียนที่แพงขึ้น