เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ผลการศึกษาของธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุ ประเทศในเอเชียต้องการเม็ดเงินลงทุนราว 944,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 29.4 ล้านล้านบาท) ภายในปี ค.ศ. 2020 เพื่อการพัฒนาด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและการปฏิบัติตามเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
รายงานชุด “Accelerating Energy Efficiency in Asia”ที่เผยแพร่โดยสำนักงานใหญ่ของเอดีบี ที่กรุงมะนิลาของฟิลิปปินส์ ในวันพฤหัสบดี (27) ระบุว่า ความต้องการบริโภคพลังงานของเอเชียซึ่งอยู่ที่ 34 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการบริโภคพลังงานทั่วโลกในปี 2010 นั้น มีแนวโน้มจะเพิ่มเป็นเกือบ 56 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2035 ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียจะประสบปัญหาสำคัญนั่นคือ ขีดความสามารถในการผลิตพลังงานของเอเชียจะลดลงเหลือแค่ “ครึ่งหนึ่ง” ของความต้องการบริโภคพลังงานทั้งหมดในภูมิภาค และนั่นหมายความว่า ภายในปี 2035 เอเชียจะกลายเป็นภูมิภาคที่ต้องพึ่งพา “การนำเข้าพลังงาน” จากต่างชาติ ในการหล่อเลี้ยงและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของตน
ผลการศึกษาของเอดีบีชี้ว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศต่างๆ ในเอเชีย จะต้องหันมาลงทุนเพื่อหาทางพัฒนาการใช้พลังงานของตนให้มีประสิทธิภาพกว่าที่เป็นอยู่เพื่อลดทอนความจำเป็นที่ต้องมีการสร้างโรงไฟฟ้าและลดการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศลง ท่ามกลางความท้าทายสำคัญ คือ การหาทางให้ประชากรในภูมิภาคอีกไม่ต่ำกว่า 628 ล้านคนที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้ในขณะนี้ ได้เข้าถึงการใช้ไฟฟ้าในอนาคตโดยเท่าเทียม แต่ทั้งนี้เอเชียต้องการเงินลงทุนในการพัฒนาด้านพลังงานอีกกว่า 944,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 29.4 ล้านล้านบาท) ภายในปี ค.ศ.2020
บินดู โลฮานี รองประธานเอดีบีด้านการจัดการองค์ความรู้กล่าวที่กรุงมะนิลาว่า ถึงเวลาแล้วที่ทางเอดีบีและชาติในเอเชียจะต้องหันมาให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับการลงทุนเพื่อพัฒนาด้านพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมเผยว่า ลำพังปีที่แล้วเพียงปีเดียว ทางเอดีบีได้อนุมัติเงินกู้ยืมเพื่อการลงทุนด้านพลังงานแก่ประเทศในเอเชียคิดเป็นวงเงินมากกว่า 970 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 30,200 ล้านบาท)