เอเจนซีส์ - ศาลสูงสหรัฐฯตัดสินที่จะให้สภาคองเกรสกลับไปแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งปี 1960 ที่คุ้มครองชนกลุ่มน้อยในสหรัฐฯมา 48 ปีแล้ว เพื่อให้ยังคงอำนาจการบังคับใช้ได้โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯด้วยเหตุผลที่ว่าข้อมูลที่รัฐบาลใช้มาสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ล้าสมัยเกินไป
จากความพยายามของอัยการประจำเชลบี เคาท์ตี รัฐ แอลาบามา แฟรงค์ เอลลิส ที่ยื่นเรื่องให้ศาลสูงสุดสหรัฐฯตัดสิน ไม่ให้รัฐบาลกลางมีอำนาจในการใช้ประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นมาแทรกแซงอำนาจของรัฐท้องถิ่น ใช้กฎหมายที่ล้าสมัยมาบังคับใช้ ซึ่งเขาพอใจในคำตัดสินที่เข้าข้างเขาในครั้งนี้
จากมติ 5-4 ของศาลในสายอนุรักษ์ตีกลับกฎหมายการเลือกตั้งปี 1960 ที่ใช้ประวัติศาสตร์ของการกีดกันทางสีผิวที่เคยเกิดขึ้นในท้องถิ่น หรือรัฐนั้นเป็นขอบเขตในการมุ่งบังคับใช้ โดยรัฐใดหรือที่ใดก็ตามที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเหยียดสีผิว ต้องขออนุญาตจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯก่อนแก้ไขกฏหมายการเลือกตั้งของตัวเอง ซึ่งมุ่งไปที่มลรัฐทางตอนใต้ที่เคยมีทาสมาก่อน
คำตัดสินที่ออกมาสร้างความผิดหวังเป็นอย่างมากให้กับประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่ง สหรัฐฯ พร้อมกันนั้นเขาได้ประกาศจะหาความร่วมมือจากสภาคองเกรสในการผ่านกฎหมาย “เพื่อให้มั่นใจว่าพลเมืองอเมริกันทุกคนจะไม่ถูกกีดกันในการที่จะหย่อนบัตรลงคะแนนเสียง”
คำตัดสินของศาลสูงที่ออกมาได้ทำลายการคุ้มครองสิทธิ์ของชนกลุ่มน้อยในอเมริกา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของการเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯที่สูงสุดในยุค 60 นำโดย ดร.มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ กฎหมายฉบับนี้แต่เดิมออกเพื่อห้ามการใช้ Poll Tax ที่หลายรัฐฯใช้เพื่อประเมินความสามารถของพลเมืองชนกลุ่มน้อยในการใช้สิทธิลงคะแนน ซึ่งพลเมืองอเมริกันที่เป็นคนกลุ่มน้อยในสมัยนั้นต้องจ่ายเป็นเงิน 1 ดอลลาร์ เพื่อทำข้อสอบก่อนว่าจะสามารถใช้สิทธิความเป็นพลเมืองสหรัฐฯออกเสียงได้หรือไม่
แต่ทว่าคำตัดสินนี้ที่นำโดยประธานของศาลสูงสุดสหรัฐฯที่อยู่ในสายอนุรักษ์ ผู้พิพากษาจอห์น โรเบิร์ต กล่าวว่าอเมริกาสมัยใหม่ไม่เหมือนกับอเมริกาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ที่กฎหมายการเลือกตั้งปี 1960 ผ่านการเห็นชอบเพื่อจะทำให้การกีดกันการเลือกตั้งที่บรรดาอดีตรัฐที่เคยมีทาสทางตอนใต้ให้หมดไป
“ประเทศของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว ในขณะที่การใช้เชื้อชาติเพื่อการกีดกันการลงคะแนนเสียงนั้นมันมากไป สภาคองเกรสต้องทำให้แน่ใจว่ากฎหมายที่จะออกบังคับใช้นั้นอ้างอิงมาจากข้อมูลที่ทันสมัยที่สะท้อนถึงเหตุการณ์ปัจจุบัน” ผู้พิพากษาโรเบิร์ตเขียนคำอธิบายคำตัดสินในส่วนของเสียงข้างมากต่อว่า “ไม่มีใครปฎิเสธว่า ยังมีการกีดกันการลงคะแนนเสียงอยู่ ในสหรัฐฯ แต่ยังมีคำถามที่ว่าเราจะยังคงใช้กฎหมายที่มีมาตรการบังคับใช้อย่างผิดแปลกอยู่ รวมถึงการปฎิบัติที่แตกต่างในระดับรัฐ มันขัดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯหรือไม่ ศาลไม่ได้ตีตกไปในสาระสำคัญของกฎหมาย ในส่วนที่ห้า แต่ที่ศาลเห็นว่าในส่วนที่สี่นั้นมันเป็นโมฆะที่กล่าวถึงว่า ส่วนใดของสหรัฐฯที่ต้องใช้กฎหมายนี้ ถ้าสภาคองเกรสไม่ผ่านมาตรการใหม่ออกมา ส่วนที่ห้าจะไม่สามารถบังคับใช้ได้”
แต่อย่างไรก็ตามทางฝั่งเดโมแครตได้กล่าวหารีพับลิกันว่า ได้แก้ไขมาตรการบังคับใช้ของกฎหมายฉบับนี้ในระดับรัฐเพื่อที่จะกดขี่การออกเสียงของอเมริกันชนกลุ่มน้อยที่เป็นฐานเสียงของเดโมแครต