เอเจนซีส์ - “คาร์คอร์ก” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทัพนาซี หน่วยเอสเอส ที่ได้รับการกล่าวหาว่าเผาหมู่บ้านที่มีเด็กและผู้หญิงจนราบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โกหกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯและหลบเข้ามาอาศัยในรัฐมินนิโซตาตั้งแต่ปี 1949
ไมเคิล คาร์คอร์ก ซ่อนเร้นอดีตของเขาที่เป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยปกป้องตัวเองของเขตยูเครนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเขาต้องตอบคำถามเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ เมื่อปี 1949 ว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการทหารใดๆ ทั้งสิ้น
แต่บันทึกที่ผู้สื่อข่าวได้จากคำขอตามกฎหมายเสรีภาพด้านข่าวสารของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า คาร์คอร์กเป็นเจ้าหน้าที่และผู้ก่อตั้งหน่วยเอสเอสของกองทัพนาซีเยอรมันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในส่วนหน่วยปกป้องตัวเองของเขตยูเครน ในปี 1943 และได้เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยกาลิเชียน
ถึงแม้ว่าเอกสารไม่ได้ชี้ชัดว่าคาร์คอร์กมีส่วนพัวพันโดยตรงอาชญากรรมสงคราม แถลงการจากอดีตสมาชิกของหน่วยที่เขาสังกัดอยู่ และเอกสารอื่นๆ ยืนยันว่าหน่วยเอสเอสยูเครนของเขาฆ่าล้างหมู่บ้านโดยเขาเป็นผู้บัญชาการอยู่ในเหตุการณ์
บันทึกของนาซีเอสเอสกล่าวว่า คาร์คอร์กและหน่วยของเขามีส่วนของการลุกฮือในวอร์ซอ ที่กองทัพฮิตเลอร์กดขี่อย่างโหดร้ายต่อชาวโปแลนด์ที่แข็งข้อในปี 1944
คาร์คอร์กชาวยูเครนวัย 95 ปฎิเสธที่จะให้ข้อมูลช่วงที่เขายังรับราชการทหารช่วงสงครามกับผู้สื่อข่าว ที่ไปถึงบ้านขนาดเล็กของเขาที่มินนิโซตา กล่าวว่า “ผมไม่คิดว่าผมมีอะไรต้องตอบ” พร้อมกับปฏิเสธที่จะตอบคำถามใดๆ ต่อไป พร้อมให้ลูกชายเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับผู้สื่อข่าว
ผู้สื่อข่าวเน้นว่า ถึงแม้คาร์คอร์กจะมีอายุถึง 94 ปีแล้ว แต่เขายังเดินเหินคล่องโดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า มาเปิดประตูเพื่อสนทนากับนักข่าว
จากการค้นพบของสำนักข่าว คาร์คอร์กต้องโดนส่งตัวออกนอกประเทศเพราะเหตุที่เขาโกหกเกี่ยวกับสถานภาพทางการทหารของเขา
“ในอเมริกากรณีนี้มันง่ายมาก ถ้าเขาเป็นผู้บัญชาการทหารของหน่วยที่ได้ทำการทารุณกรรม อีเฟรม ซูรอฟ หัวหน้าหน่วยล่าสมาชิกกองทัพนาซี ที่ศูนย์ซีโมน เวียเซนทาว ที่กรุงเยรูซาเลม บอกกับเอพี” ถึงแม้แต่ในเยอรมนี ...ถ้าเขาเป็นหัวหน้าหน่วย ถึงแม้ว่าจะไม่มีภาพหลักฐานตอนที่เขาเหนี่ยวไกปืน ยังไงคาร์คอร์กก็ต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เขาได้ก่อขึ้น”
รัฐมนตรีช่วยมหาดไทยที่เป็นหัวหน้าของสำนักอัยการเยอรมนี โทมัส วิล เผยกับเอพีว่า เขาสนใจที่จะรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับ ไมเคิล คาร์คอร์ก
69 ปี หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลเยอรมนียังคงมีความพยายามที่จะตามล่าอาชญากรนาซีเหล่านี้ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้ เยอรมนีประสบความสำเร็จในการแกะรอยอดีตกองทัพนาซีราว 50 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำคุกเอาต์วิช โดยอดีตเจ้าหน้าที่กองทัพนาซีเหล่านี้กำลังเผชิญหน้าต่อการถูกจองจำ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพอเมริกาเป็นผู้กลั่นกรองการออกวีซ่าให้ชาวต่างชาติ ซึ่งจากบันทึกไม่พบว่าข้อมูลของคาร์คอร์กน่าสงสัยแต่อย่างใด แต่มีสิ่งที่น่าสังเกตว่าข้อมูลทางฝั่งอดีตสหภาพโซเวียตในสมัยนั้นขาดการยืนยันของตัวบุคคลและไม่สามารถได้ข้อมูลแน่ชัดจากถิ่นเมืองที่เขาอาศัยอยู่
คาร์คอร์กพร้อมลูกชาย 2 คน อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ที่มินนิโซตา สหรัฐฯ หลังจาก ภรรยาเขาเสียชีวิตในปี 1948 เขาได้แต่งงานใหม่ครั้งที่ 2 ที่ อเมริกา และมีบุตรมากกว่า 4 คน ซึ่งคนเล็กสุดเกิดในปี 1966
คาร์คอร์กบอกกับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่า เขาเป็นช่างไม้กับบริษัทที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มินนิโซตา โดยบริษัทนี้รับเหมาอยู่ทั่วประเทศ
ในปี 1995 คาร์คอร์กได้ออกหนังสือบันทึกความทรงจำ ที่เขาได้เปิดเผยเกี่ยวกับการทำงานกับกองทัพนาซีในหน่ายเอสเอส โดยเขาได้ยอมรับอย่างภาคภูมิใจว่าเขาได้รางวัลกล้าหาญจากกองทัพนาซี เป็นรูปไม้กางเขนเหล็กด้วย
หนังสือบันทึกความทรงจำนี้ถูกพิมพ์เป็นภาษายูเครนเก็บรักษาไว้ที่หอสมุดสภาคองเกรส และห้องสมุดในอังกฤษ อาจหาได้ตามอินเทอร์เน็ตในรูปแบบอีบุ๊ก