สภาท้องถิ่นรัสเซียเปลี่ยนชื่อเมือง “โวลโกกราด” เป็น “สตาลินกราด” รำลึกชัยชนะกองทัพโซเวียตต่อนาซี

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - เมืองโวลโกกราด เมืองอุตสาหกรรมสำคัญทางภาคใต้ของรัสเซีย ซึ่งเป็นบ้านของประชากรมากกว่า 1 ล้านคน และเคยเป็นสมรภูมิอันนองเลือดของกองทัพแดงอดีตสหภาพโซเวียตในการต่อต้านทหารนาซีเยอรมันเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ประกาศเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “สตาลินกราด” อีกรอบ

รายงานข่าวระบุว่า เมืองโวลโกกราดซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองของเขตที่มีชื่อเดียวกันทางตอนใต้ของรัสเซีย ถูกเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อ “สตาลินกราด” อย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อวันพฤหัสบดี (31) ที่ผ่านมา โดยสภาท้องถิ่นให้เหตุผลว่า ต้องการรำลึกถึงวีรกรรมของกองทัพแดงและชาวเมืองในการต่อต้านการรุกรานของกองทัพนาซีในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กินเวลานานมากกว่า 5 เดือน จนเป็นเหตุให้ทหารกองทัพแดงและประชาชนในพื้นที่เสียชีวิตไปมากกว่า 478,000 คน ขณะที่พวกนาซีเสียชีวิต สูญหายและบาดเจ็บประมาณ 850,000 คน รวมถึงถูกจับเป็นเชลยอีกกว่า 107,000 คน

ก่อนหน้านี้ เมืองแห่งนี้เคยใช้ชื่อว่าสตาลินกราดมาแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นโวลโกกราดเมื่อปี 1961 หลังเกิดกระแสต่อต้านและไม่ยอมรับจอมเผด็จการ “โจเซฟ สตาลิน” ไปทั่วสหภาพโซเวียต และเกิดความพยายามที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่จะสื่อถึงสตาลิน

อย่างไรก็ดี ความเคลื่อนไหวล่าสุดของสมาชิกสภาท้องถิ่นในการเปลี่ยนชื่อเมืองกลับไปเป็นสตาลินกราดอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งตรงกับวันครบรอบความพ่ายแพ้ของพวกนาซี กลับสร้างความไม่พอใจให้กับบรรดากลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ที่มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากการยกย่องจอมเผด็จการมือเปื้อนเลือดอย่างสตาลิน ที่เข่นฆ่าประชาชนชาวรัสเซียของตัวเองไปหลายล้านคน ระหว่างที่เขาครองอำนาจระหว่างปี 1922-1952 ซึ่งเป็นเรื่องที่มิอาจยอมรับได้

ด้านวลาดิมีร์ ลูกิน ผู้ตรวจการแผ่นดินด้านสิทธิมนุษยชนของรัฐสภารัสเซีย ระบุว่า การตัดสินใจเปลี่ยนชื่อเมืองโวลโกกราดกลับไปใช้เป็นสตาลินกราดอีกครั้งถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม และการกระทำดังกล่าวอาจถูกศาลสูงรัสเซียสั่งให้เป็นโมฆะได้

ทั้งนี้ มีรายงานว่า นอกจากการเปลี่ยนชื่อเมืองโวลโกราดดังกล่าวแล้ว สมาชิกสภาท้องถิ่นในอีกหลายเมืองของรัสเซีย เช่น นครเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก รวมถึงเมืองชิตาในเขตไซบีเรีย ประกาศจะมีการนำรูปของโจเซฟ สตาลิน มาติดประดับไว้บนรถบัสโดยสารของเมืองในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้เช่นกันเพื่อร่วมรำลึกถึงชัยชนะที่มีเหนือกองทัพนาซีเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปี 1943