เอเจนซีส์ - ไอเอ็มเอฟลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตของจีนเป็นรอบที่ 2 ชี้ภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งยังคงชะงักงัน ได้ส่งผลกระทบการส่งออกของปักกิ่ง อย่างไรก็ดี คาดว่าครึ่งปีหลังจีดีพีแดนมังกรจะกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง
เดวิด ลิปตัน รองกรรมการผู้จัดการอันดับ 1 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) แถลงจากปักกิ่งเมื่อวันพุธ (29) ว่า ไอเอ็มเอฟปรับตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนลงมาอยู่ที่ประมาณ 7.5% ทั้งในปีนี้และปีหน้า
เมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกของไอเอ็มเอฟเพิ่งคาดหมายว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของพญามังกรจะเติบโตรุดหน้าได้ 8% ในปีนี้ และ 8.2% ในปี 2014 โดยที่ตัวเลขดังกล่าวก็เป็นการปรับลดลงจากรายงานซึ่งนำออกเผยแพร่ในเดือนมกราคมแล้ว
แต่ตัวเลขคาดการณ์ล่าสุดของไอเอ็มเอฟนี้ ยังสูงกว่าเป้าหมายการเติบโตที่ทางปักกิ่งคำนวณไว้ที่ 7.5% สำหรับปีนี้
จีนนั้นถูกตั้งความหวังว่าจะมาช่วยกู้ฟื้นเศรษฐกิจโลกในยามที่วิกฤตหนี้ยูโรโซนยังไม่สิ้นฤทธิ์ และถ่วงความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ทว่า ในปีที่ผ่านมาจีดีพีจีนขยายตัวได้ 7.8% ซึ่งแม้เป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทว่า อยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 13 ปี มิหนำซ้ำในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้อัตราเติบโตยังแผ่วลงอย่างน่าประหลาดใจมาอยู่ที่ 7.7%
ลิปตันแจงว่า เศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลงเป็นปัจจัยสำคัญซึ่งฉุดภาคการส่งออกของจีนที่เคยโตเร็วมากมาหลายปี และการปรับลดอัตราการเติบโตล่าสุดก็มีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกโดยรวม บวกกับการที่การขยายตัวของสินเชื่อภายในแดนมังกรก็กำลังชะลอความร้อนแรงลง
รองกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟเสริมว่า การลดการคาดการณ์เศรษฐกิจจีนล่าสุดเช่นนี้ถือว่า ”เล็กน้อย” เท่านั้น และไม่ควรลืมว่าจีนยังคงเติบโตรวดเร็วมาก โดยมีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ตามภาวะเศรษฐกิจโลก
กระนั้น ลิปตันสำทับว่าจีนควรใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลัง หากจีดีพีขยับลงต่ำกว่าที่ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ไว้
การแถลงข่าวของลิปตันมีขึ้นในวาระเสร็จสิ้นการให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลจีน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของไอเอ็มเอฟ โดยในช่วงระหว่างนี้ ลิปตันได้พบกับรองนายกรัฐมนตรีหวัง ฉีชาน และผู้ว่าการแบงก์ชาติ โจว เสี่ยวชวน
สัญญาณเตือนภัยต่อแนวโน้มการเติบโตของจีนเริ่มดังขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากการที่เอชเอสบีซี แบงก์ชั้นนำจากอังกฤษ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อเบื้องต้น อันเป็นข้อมูลซึ่งเป็นที่จับตาใกล้ชิด โดยปรากฏว่า ดัชนีพีเอ็มไอของจีนประจำเดือนพฤษภาคมลดลงอยู่ที่ 49.6 จาก 50.4 ในเดือนเมษายน ทั้งนี้ถ้าหากดัชนีนี้ลดต่ำลงกว่าระดับ 50 แล้ว คือการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังจะหดตัว โดยที่ในคราวนี้นอกจากดัชนีพีเอ็มไอจะลงต่ำกว่า 50 แล้ว ยังถือเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
รายงานชิ้นนี้ทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นโตเกียวและลามไปถึงตลาดหุ้นทั่วโลกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ในเวลานี้ คณะผู้นำชุดใหม่ของจีนพยายามหันมากระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นที่อุปสงค์ของผู้บริโภคภายในประเทศ มากกว่าการลงทุนและการส่งออก ที่เคยเป็นแรงขับให้จีดีพีของประเทศพุ่งทะยานในอัตราเลขสองหลักในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
เหริน เสียนฟาง นักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทวิจัยไอเอชเอส โกลบัล อินไซต์ ที่ประจำอยู่ในปักกิ่ง กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนแนวทางนโยบายของปักกิ่งอาจส่งผลอย่างมากต่อความคาดหวังของประชาชน และว่า การรักษาอัตราการเติบโตเหนือระดับ 7.8% อาจไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลจีนจำเป็นต้องทำให้ได้อีกต่อไป