เอเจนซีส์- การประชุมกองทุนUNFPA ที่จะจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย อาทิตย์หน้านี้ ตั้งเป้าเพิ่มการคุมกำเนิดในประชากรเพศหญิงจำนวน 222 ล้านคนที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การสหประชาชาติที่มีเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ
โดยการประชุม UNFPA หรือกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ ที่มาเลเซียในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ที่จะถึงนี้โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากทั่วทุกมุมโลก เป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและพลังอำนาจให้เพศหญิง และตั้งเป้าคุมกำเนิดของประชากรเพศหญิงที่มากกว่า 222 ล้าน คนในประเทศที่กำลังพัฒนา
กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติชี้ไปที่การเพิ่มจำนวนการคุมกำเนิดและการลดความต้องการคุมกำเนิดที่ยังไม่พอเพียง เป็นเป้าหมายสำคัญในการบรรลุวัตถุประสงค์ 3 ข้อขององค์การสหประชาชาติ ที่มีเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ดังนี้ เสริมสร้างสุขภาพของแม่, ลดจำนวนการเสียชีวิตของเด็ก และต่อสู้กับโรคเอดส์หรือ HIV เพื่อให้ทันก่อนเส้นตายของโครงการในปี 2015
ศิวนันธี ธเนนถิรัน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลและการวิจัยสำหรับสตรีในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หรือ แอโรว์ ที่มีสำนักงานอยู่ที่มาเลเซีย เผยว่า ความสามารถในการตัดสินใจต่อจำนวนการมีบุตร ระยะเวลาที่เหมาะสมที่จะมีบุตร ตลอดจนระยะห่างของการมีบุตรแต่ละคน เป็นสิทธิชอบธรรมโดยพื้นฐานของของเพศแม่และคู่สมรสที่พึงมี
ธเนนถิรัน กล่าวเสริมว่า ในปัจจุบันนี้ผู้หญิงจำนวนประมาณ 222 ล้านคน ที่อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนามีความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองในการวางแผนครอบครัว และในหลายๆประเทศมีผู้หญิงเป็นจำนวนมากมีบุตรมากเกินกว่าที่พวกเธอต้องการ
“การลงทุนในเรื่องสุขภาพในการตั้งครรภ์และสิทธิ์ในการมีบุตรต้องการความร่วมมือจากหน่วยงานส่วนต่างๆจากองค์การสหประชาชาติ ตลอดจนรัฐบาลประเทศต่างๆ และบรรดาผู้บริจาค” ธเนนถิรัน กล่าวต่อ
ตั้งแต่กองทุน UNFPA ก่อตั้งขึ้นย้อนหลังไปในปี 1969 จำนวนเฉลี่ยอัตราการเกิดประชากรลดลงไปกว่าครึ่ง UNFPA กล่าวว่ามันเป็น “ตัวเร่งที่สำคัญ” ในความสำเร็จโดยการตอบสนองต่อคำร้องขอจากประเทศกำลังพัฒนา
เมื่อถามว่าจะมีวิธีใดที่ดีที่สุดในการทำให้การคุมกำเนิดพอเพียงต่อความต้องการ ดร. เปอร์นิมา มาเน ประธานและซีอีโอของพาธไฟเดอร์ อินเตอร์แนชันแนล องค์กรสากลไม่แสวงหาผลกำไรที่มุ่งทำเกี่ยวกับสตรีและการวางแผนครอบครัว ได้เผยว่า ยูเอ็นและชุมชนนานาชาติจำเป็นที่ต้องให้การสนับสนุนในเรื่องการเพิ่มทุนต่อไปทั้ง “ภายในประเทศและภายนอกประเทศ” เพื่อการเข้าถึงการคุมกำเนิดและให้การวางแผนครอบครัวนำไปสู่กับการเสริมสร้างสุขภาพแบบครบวงจรในทุกเวทีการอภิปรายและให้ขยายกว้างไปสู่ทุภาคส่วน
ในขณะที่เป็นความจริงที่ว่าการระดับการศึกษาของสตรีนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับความพยายามในเรื่องนี้ ดร. มาเน กล่าวเสริมว่า การศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นที่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ของผู้หญิงได้
การทำงานระดับชุมชนเพื่อเปลี่ยนค่านิยมของท้องถิ่นที่เกี่ยวกับเพศให้สอดคล้องกับนโยบายทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันการแต่งงานก่อนวัยอันควร ทำให้เด็กผู้หญิงยังด้อยู่ในโรงเรียน ดร. มาเน อธิบายในแง่ที่เธอเป็นผู้นำองค์กรค์ในการส่งเสริมด้านเพศและสิทธิการมีบุตร
และถามต่อว่ายูเอ็นจะให้ความสำคัญอย่างไรในสุขภาพการวางแผนครอบครัวหลังปี 2015 ไปแล้ว ดร.มาเน บอกว่า หลักการสิทธิมนุษยชนของการประชุมนานานาชาติว่าด้วยเรื่องประชากรและการพัฒนา (ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1994 ที่กรุงไคโร อียิปต์) สามารถถูกปรับเปลี่ยนไปได้ในหลายรูปแบบเพื่อสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่จะตั้งขึ้นมาใหม่ในภายหลัง