เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-กระทรวงยุติธรรมอินโดนีเซีย เตรียมเดินหน้าแผนปฏิรูปกฏหมายของประเทศครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการผลักดันให้มีกฏหมายสำหรับเอาผิดชายหญิงที่ร่วมรักกันโดยมิได้แต่งงาน และการเอาผิดพ่อมดหมอผีที่ใช้มนตร์ดำ
รายงานข่าวระบุ กระทรวงยุติธรรมอินโดนีเซียได้จัดทำรายงานเกี่ยวกับแนวทางในการปรับปรุงกฏหมายของประเทศครั้งใหญ่ โดยรายงานความยาว 202 หน้ากระดาษนี้ ถูกรวบรวมขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักกฏหมายมุสลิมหัวอนุรักษนิยม และเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกรัฐสภาอินโดนีเซียในเร็วๆนี้
เนื้อหาในส่วนที่ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุดในรายงานดังกล่าว คือ การที่ผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงยุติธรรมอินโดนีเซียเสนอให้มีการจำคุกนานถึง 5 ปีต่อชายหญิงที่มีเพศสัมพันธ์กันโดยไม่ได้แต่งงาน ซึ่งครอบคลุมถึงคู่รักที่มีความสัมพันธ์กันก่อนถึงวันแต่งงานด้วย ขณะที่ชายโสดและหญิงโสดที่พักอาศัยอยู่ร่วมกันก็จะต้องถูกจับติดคุกนาน 1 ปี
ส่วนผู้ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายการ “คบชู้” จะต้องได้รับโทษจำคุกนาน 5 ปี ซึ่งเป็นโทษที่เพิ่มจากบทลงโทษนาน 9 เดือนในปัจจุบัน
นอกจากนั้น หากเจ้าหน้าที่ของรัฐพบว่า บุคคลใดก็ตามใช้ “มนตร์ดำ” ไม่ว่าจะในทางดีหรือในทางร้าย เพื่อแลกกับผลประโยชน์หรือทรัพย์สินเงินทองก็จะต้องรับโทษจำคุกนาน 5 ปีเช่นกัน
แต่ที่ถูกกล่าวขวัญ และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุด คือ การที่รายงานดังกล่าวของกระทรวงยุติธรรมแดนอิเหนาเสนอให้มีการกำหนดบทลงโทษจำคุกนาน 5 ปี แก่บุคคลใดก็ตามที่พูดจาดูถูก หรือพาดพิงในทางเสื่อมเสียต่อประธานาธิบดีของประเทศ โดยหลายฝ่ายมองว่า ความพยายามแก้ไขกฏหมายในจุดนี้เข้าข่ายเป็นการคุกคามทางการเมืองและความเป็นเผด็จการ
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวภายในกระทรวงยุติธรรมอินโดนีเซียรายหนึ่งออกมาเปิดเผยที่กรุงจาการ์ตาโดยยืนยันว่า รายงานฉบับดังกล่าวไม่มีจุดประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่จัดทำขึ้นโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ร่วมของชาวอินโดนีเซียทั้ง 240 ล้านคนทั่วประเทศเป็นเป้าหมายหลัก พร้อมย้ำว่า กฏหมายหลายฉบับโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูป เนื่องจากถูกตราขึ้นตั้งแต่สมัยที่อินโดนีเซียยังไม่หลุดพ้นจากสถานะอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ขณะที่บางฉบับก็ถูกบังคับใช้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1945 ซึ่งเป็นปีที่อินโดนีเซียได้รับเอกราช
ในส่วนของการแก้ไขกฏหมายเรื่องบทลงโทษต่อผู้ที่ดูหมิ่นประธานาธิบดีนั้น รองประธานาธิบดีบูดิโยโนของอินโดนีเซียออกมาเน้นย้ำว่า ไม่เกี่ยวข้องกับความพยายามในการปกป้องประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโนผู้นำคนปัจจุบันที่กำลังจะหมดวาระในปีหน้า ตามที่กลุ่มเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวหา
