เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สี จิ้นผิง ประธานาธิืบดีใหม่ถอดด้ามของจีนย้ำชัด รัฐบาลปักกิ่งและวอชิงตันมีผลประโยชน์มหาศาลร่วมกัน ถึงแม้ในบางครั้งอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้นของจีนอาจทำให้ถูกมองว่าจีนเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในเวทีเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ
ผู้นำจีน วัย 59 ปี แสดงท่าทีดังกล่าวในวันอังคาร (19) ระหว่างให้การต้อนรับนายเจค็อบ ลูว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่งโดยยืนยันว่า ในความเป็นจริงแล้วสหรัฐฯ และจีนซึ่งเป็นชาติที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด 2 อันดับแรกของโลกต่างมีผลประโยชน์มหาศาลระหว่างกันและกัน แต่ถือเป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ที่จีนจะถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญที่เป็นภัยต่อสหรัฐฯ จากบทบาทของจีนที่เพิ่มสูงขึ้นในเวทีโลก รวมถึงจุดยืนในบางเรื่องระหว่างรัฐบาลทั้งสองที่แตกต่างกัน
ท่าทีล่าสุดของสี จิ้นผิง มีขึ้นขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังอยู่ในภาวะตึงเครียดที่สุดในรอบหลายปี หลังมีการกล่าวหาว่าจีนเกี่ยวข้องกับการโจมตีของพวกแฮกเกอร์ต่อระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทเอกชนชั้นนำ รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ
หลังการหารือกับผู้นำจีนนาน 45 นาที ลูว์วัย 57 ปี ซึ่งเป็นขุนคลังคู่ใจคนใหม่ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้เน้นย้ำเช่นกันว่าทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก และต่างมีความรับผิดชอบร่วมกันต่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ความมีเสถียรภาพและความยั่งยืนของเศรษฐกิจโลก พร้อมแสดงความคาดหวังว่าจีนจะแสดงถึงบทบาทและความรับผิดชอบมากขึ้นในเวทีโลกนับจากนี้
ขณะเดียวกัน แหล่งข่าวทางการทูตในกรุงปักกิ่งเปิดเผยว่า ระหว่างการพบหารือครั้งนี้รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯได้หยิบยกประเด็นเรื่องพฤติกรรมที่คุกคามสันติภาพของเกาหลีเหนือ รวมถึงประเด็นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐกับเงินหยวนของจีน รวมถึงประเด็นเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา และความมั่นคงทางไซเบอร์เข้าหารือกับผู้นำจีนด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันอาทิตย์ (17) นายกรัฐมนตรีหลี่ เค่อเฉียงของจีน เพิ่งแถลงโดยตั้งความหวังว่า โอกาสในด้านการค้าและการลงทุนระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะเปิดกว้างมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยระบุถึง ปริมาณการค้าทวิภาคีระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯเมื่อ 30 ปีก่อน มาเป็นกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2012 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป พร้อมย้ำว่า แม้สองชาติมหาอำนาจจะหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งระหว่างกันไม่ได้ แต่หากทั้งสองฝ่ายคำนึงถึงผลประโยชน์ในภาพกว้างที่เป็นรูปธรรมร่วมกัน ข้อพิพาทต่างๆ ระหว่างปักกิ่งกับวอชิงตันย่อมจะกลายเป็นเรื่องเล็ก ซึ่งจะส่งผลดีในการสร้างความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ของสองชาติมหาอำนาจ