เอเจนซีส์ - เกาหลีเหนือท้าทายมติสหประชาชาติ ด้วยการทดลองอาวุธนิวเคลียร์เป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันอังคาร (12) พร้อมคุยว่าประสบความสำเร็จด้วยอานุภาพการระเบิดที่รุนแรงยิ่งขึ้นแถมใช้อุปกรณ์ขนาดที่กะทัดรัดลงมา ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่าขยับใกล้ที่จะสามารถติดตั้งหัวรบปรมาณูเข้ากับขีปนาวุธนำวิถีเข้าไปอีก ทางด้านนานาชาติต่างพากันประณาม ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา รัสเซีย และกระทั่งจีนที่เป็นพันธมิตรสำคัญซึ่งยังเหลืออีกรายเดียวของเปียงยางก็ยังเรียกเอกอัครราชทูตของโสมแดงมาประท้วง
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือแถลงว่า เปียงยางประสบความสำเร็จในการทดสอบระเบิดที่มีอานุภาพสูงกว่าที่เคยทดสอบในปี 2006 และ 2009 โดยใช้อุปกรณ์นิวเคลียร์ขนาดย่อส่วนลงมา
ทั้งนี้ เป็นการยืนยันรายงานก่อนหน้านั้นของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า ตรวจพบแรงสั่นสะเทือนระดับ 5.1 ขณะที่โฆษกกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ก็ระบุว่า แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า ระเบิดครั้งนี้มีขนาดใหญ่กว่า 2 ครั้งที่แล้วที่เปียงยางใช้ทดสอบ ซึ่งมีน้ำหนัก 6-7 กิโลตัน
นอกจากนั้น การกล่าวอ้างเรื่องใช้อุปกรณ์นิวเคลียร์ย่อส่วน ยังน่าจะยิ่งเพิ่มความกังวลใจที่ว่า เกาหลีเหนือยิ่งขยับเข้าไปใกล้การติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์เข้ากับขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โสมแดงเพิ่งประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งแอบอ้างอำพรางว่าเป็นการยิงจรวดเพื่อส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร
พวกผู้เชี่ยวชาญยังกำลังพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อวินิจฉัยด้วยว่า เกาหลีเหนือได้เปลี่ยนจากการใช้พลูโตเนียมทำระเบิดนิวเคลียร์ มาเป็นการใช้ยูเรเนียมแทนที่หรือยัง ซึ่งหากใช้ยูเรเนียมแล้วก็จะทำให้โครงการอาวุธ “นุก” ของโสมแดงอยู่ในลักษณะพึ่งตนเองได้ โดยที่ในเรื่องนี้ คำแถลงของเคซีเอ็นเอไม่ได้ระบุชัดเจนว่าวัสดุที่ใช้เพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันในคราวนี้เป็นอะไร เพียงบอกว่า ความสำเร็จของการทดลองคราวนี้ ทำให้เปียงยางมี การป้องปรามทางนิวเคลียร์ “ที่หลากหลาย”
ภายหลังการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็นัดหมายประชุมฉุกเฉินในเช้าวันอังคาร (12) โดยคาดหมายกันว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรจะผลักดันหนักเพื่อให้จีนยินยอมเปิดทางให้ใช้มาตรการอันหนักแน่นเคร่งครัดเพื่อเล่นงานลงโทษพันธมิตรผู้กระทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่าของปักกิ่งรายนี้
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือก็แสดงท่าทีท้าทายนานาชาติต่อไปอีก ด้วยการแถลงว่าการทดลองในวันอังคารเป็นเพียงขั้นตอน “แรก” โดยถ้ามีการลงโทษคว่ำบาตรโสมแดงมากขึ้นอีก ก็จะเป็นชนวนทำให้เกิด “การดำเนินการในรอบ 2 หรือรอบ 3 ซึ่งรุนแรงมากขึ้น”
ทางด้านสำนักข่าวข่าวกรองของเกาหลีใต้สำทับด้วยการทำนายว่า โสมแดงอาจจะดำเนินการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์หรือการยิงขีปนาวุธนำวิถีอีกครั้งในระยะไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
สำหรับปฏิกิริยาของนานาชาติ นอกเหนือจากคณะมนตรีความมั่นคงแล้ว ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือต่อเปียงยาง เพื่อตอบโต้ “การยั่วยุอย่างรุนแรง” ซึ่งคุกคามความมั่นคงของอเมริกาและสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ หลังจากที่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมปีที่แล้ว เปียงยางเพิ่งยิงขีปนาวุธ ซึ่งทั้งบ่อนทำลายเสถียรภาพในภูมิภาคและละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศจีนแจ้งว่า ได้เรียกเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำปักกิ่งมาพบและทำการประท้วงอย่างรุนแรง โดยที่ หยาง เจียฉี โฆษกกระทรวงระบุว่า จีน “แสดงความไม่พอใจอย่างแรงกล้าและคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยว” ต่อการทดสอบคราวนี้ และเรียกร้องให้เกาหลีเหนือ “ยุติการพูดและการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงมา แล้วหวนกลับไปสู่เส้นทางอันถูกต้องแห่งการสนทนาและการปรึกษาหารือกันโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ส่วนทางด้านญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ระบุว่าการทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็น “ภัยคุกคามร้ายแรง” ขณะอังกฤษเรียกร้องการตอบโต้อย่างเข้มแข็ง และเยอรมนีสำทับว่า ควรพิจารณามาตรการลงโทษเพิ่มเติม
ประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ของฝรั่งเศส 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรี ประณามการทดสอบนุกของเกาหลีเหนือ และย้ำว่าปารีสจะสนับสนุน “มาตรการที่เข้มแข็ง” ของคณะมนตรี
สำหรับรัสเซีย รัฐมนตรีต่างประเทศ เซอร์เกย ลาฟรอฟ เรียกร้องเกาหลีเหนือให้ละทิ้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์ และหวนกลับมาเจรจากัน
ในเอเชีย-แปซิฟิก อินเดีย มหาอำนาจนิวเคลียร์แห่งภูมิภาค ระบุว่า การทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ขณะที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวันต่างประณามเปียงยาง
แม้แต่อิหร่านที่ถูกยูเอ็นลงโทษรุนแรงจากโครงการนิวเคลียร์เช่นกัน ยังใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้โลกลดอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมปกป้องว่า โครงการของตนมีจุดประสงค์เพื่อสันติ
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือแถลงว่า เปียงยางประสบความสำเร็จในการทดสอบระเบิดที่มีอานุภาพสูงกว่าที่เคยทดสอบในปี 2006 และ 2009 โดยใช้อุปกรณ์นิวเคลียร์ขนาดย่อส่วนลงมา
ทั้งนี้ เป็นการยืนยันรายงานก่อนหน้านั้นของสำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาของสหรัฐฯ ที่ระบุว่า ตรวจพบแรงสั่นสะเทือนระดับ 5.1 ขณะที่โฆษกกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ก็ระบุว่า แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า ระเบิดครั้งนี้มีขนาดใหญ่กว่า 2 ครั้งที่แล้วที่เปียงยางใช้ทดสอบ ซึ่งมีน้ำหนัก 6-7 กิโลตัน
นอกจากนั้น การกล่าวอ้างเรื่องใช้อุปกรณ์นิวเคลียร์ย่อส่วน ยังน่าจะยิ่งเพิ่มความกังวลใจที่ว่า เกาหลีเหนือยิ่งขยับเข้าไปใกล้การติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์เข้ากับขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โสมแดงเพิ่งประสบความสำเร็จในการทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งแอบอ้างอำพรางว่าเป็นการยิงจรวดเพื่อส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร
พวกผู้เชี่ยวชาญยังกำลังพยายามรวบรวมข้อมูลเพื่อวินิจฉัยด้วยว่า เกาหลีเหนือได้เปลี่ยนจากการใช้พลูโตเนียมทำระเบิดนิวเคลียร์ มาเป็นการใช้ยูเรเนียมแทนที่หรือยัง ซึ่งหากใช้ยูเรเนียมแล้วก็จะทำให้โครงการอาวุธ “นุก” ของโสมแดงอยู่ในลักษณะพึ่งตนเองได้ โดยที่ในเรื่องนี้ คำแถลงของเคซีเอ็นเอไม่ได้ระบุชัดเจนว่าวัสดุที่ใช้เพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิชชันในคราวนี้เป็นอะไร เพียงบอกว่า ความสำเร็จของการทดลองคราวนี้ ทำให้เปียงยางมี การป้องปรามทางนิวเคลียร์ “ที่หลากหลาย”
ภายหลังการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติก็นัดหมายประชุมฉุกเฉินในเช้าวันอังคาร (12) โดยคาดหมายกันว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรจะผลักดันหนักเพื่อให้จีนยินยอมเปิดทางให้ใช้มาตรการอันหนักแน่นเคร่งครัดเพื่อเล่นงานลงโทษพันธมิตรผู้กระทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่าของปักกิ่งรายนี้
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือก็แสดงท่าทีท้าทายนานาชาติต่อไปอีก ด้วยการแถลงว่าการทดลองในวันอังคารเป็นเพียงขั้นตอน “แรก” โดยถ้ามีการลงโทษคว่ำบาตรโสมแดงมากขึ้นอีก ก็จะเป็นชนวนทำให้เกิด “การดำเนินการในรอบ 2 หรือรอบ 3 ซึ่งรุนแรงมากขึ้น”
ทางด้านสำนักข่าวข่าวกรองของเกาหลีใต้สำทับด้วยการทำนายว่า โสมแดงอาจจะดำเนินการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์หรือการยิงขีปนาวุธนำวิถีอีกครั้งในระยะไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
สำหรับปฏิกิริยาของนานาชาติ นอกเหนือจากคณะมนตรีความมั่นคงแล้ว ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ได้เรียกร้องให้ดำเนินการอย่างรวดเร็วและน่าเชื่อถือต่อเปียงยาง เพื่อตอบโต้ “การยั่วยุอย่างรุนแรง” ซึ่งคุกคามความมั่นคงของอเมริกาและสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ หลังจากที่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมปีที่แล้ว เปียงยางเพิ่งยิงขีปนาวุธ ซึ่งทั้งบ่อนทำลายเสถียรภาพในภูมิภาคและละเมิดมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น)
ทางด้านกระทรวงการต่างประเทศจีนแจ้งว่า ได้เรียกเอกอัครราชทูตเกาหลีเหนือประจำปักกิ่งมาพบและทำการประท้วงอย่างรุนแรง โดยที่ หยาง เจียฉี โฆษกกระทรวงระบุว่า จีน “แสดงความไม่พอใจอย่างแรงกล้าและคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยว” ต่อการทดสอบคราวนี้ และเรียกร้องให้เกาหลีเหนือ “ยุติการพูดและการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงมา แล้วหวนกลับไปสู่เส้นทางอันถูกต้องแห่งการสนทนาและการปรึกษาหารือกันโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ส่วนทางด้านญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ระบุว่าการทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็น “ภัยคุกคามร้ายแรง” ขณะอังกฤษเรียกร้องการตอบโต้อย่างเข้มแข็ง และเยอรมนีสำทับว่า ควรพิจารณามาตรการลงโทษเพิ่มเติม
ประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ของฝรั่งเศส 1 ใน 5 สมาชิกถาวรของคณะมนตรี ประณามการทดสอบนุกของเกาหลีเหนือ และย้ำว่าปารีสจะสนับสนุน “มาตรการที่เข้มแข็ง” ของคณะมนตรี
สำหรับรัสเซีย รัฐมนตรีต่างประเทศ เซอร์เกย ลาฟรอฟ เรียกร้องเกาหลีเหนือให้ละทิ้งโครงการอาวุธนิวเคลียร์ และหวนกลับมาเจรจากัน
ในเอเชีย-แปซิฟิก อินเดีย มหาอำนาจนิวเคลียร์แห่งภูมิภาค ระบุว่า การทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ขณะที่ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และไต้หวันต่างประณามเปียงยาง
แม้แต่อิหร่านที่ถูกยูเอ็นลงโทษรุนแรงจากโครงการนิวเคลียร์เช่นกัน ยังใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้โลกลดอาวุธนิวเคลียร์ พร้อมปกป้องว่า โครงการของตนมีจุดประสงค์เพื่อสันติ