เอเอฟพี - อดีตสมาชิกหน่วยรบพิเศษซีล ซึ่งเป็นผู้ปลิดชีวิต อุซามะห์ บิน ลาดิน ยอมเปิดปากเป็นครั้งแรกในวันจันทร์ (11) โดยเล่าถึงเหตุการณ์ในคืนที่เขาลั่นไกสังหารอดีตแกนนำอัลกออิดะห์ถึง 3 นัด และความกังวลเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินของเขาเมื่อต้องกลายเป็นพลเรือนที่ไม่มีงานทำ
สมาชิกหน่วยรบพิเศษรายนี้ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเอสไควร์ โดยปกปิดตัวตนของเขาไว้เป็นความลับ แต่ยอมเปิดเผยถึงบทบาทของตัวเองในปฏิบัติการจู่โจมเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2011 และความกังวลถึงความปลอดภัยของครอบครัว
“เขาดูสับสน และตัวสูงกว่าที่ผมคาดไว้” เจ้าหน้าที่ซีลคนดังกล่าวเอ่ยถึงบิน ลาดิน พร้อมกับเล่าว่า เมื่อหน่วยคอมมานโดบุกขึ้นไปบนชั้น 3 ของบ้านอันเป็นที่ซ่อนตัวในเมืองอับบอตตาบัด ปากีสถาน แกนนำอัลกออิดะห์นั้นอยู่กับภรรยาคนเล็กสุดในความมืด
“ผมไม่รู้ว่าเธอมีเสื้อติดระเบิดหรือไม่ แต่เธอถูกผลักออกเพื่อเป็นการสละชีพพวกเขาทั้งคู่ เขาคว้าปืน (เอเค-47) เอาไว้ได้ เขาเป็นภัยคุกคาม ผมจำเป็นต้องยิงศีรษะของเขา เพื่อที่เขาจะได้ไม่มีโอกาสระเบิดฆ่าตัวตาย” เจ้าหน้าที่ระบุ
“ในวินาทีนั้น ผมยิงเขา 2 นัดที่หน้าผาก ปัง ปัง ในนัดที่ 2 เขาก็ล้มลง เขาล้มลงบนพื้นที่หน้าเตียงนอนของเขา และผมก็ยิงเขาอีกครั้ง ณ ตำแหน่งเดิม” นาวิกโยธินพิเศษรายนี้เสริม และว่า “เขาตายแล้ว ไม่ขยับเขยื้อนเลย ลิ้นของเขาห้อยออกมา”
บทความในนิตยสารเอสไควร์ ซึ่งอ้างถึงสมาชิกซีลผู้นี้ว่าเป็น “มือลั่นไก” ได้ตอกย้ำถึงชะตากรรมของสมาชิกหน่วยซีลรายนี้ในฐานะวีรบุรุษนิรนาม ที่ไม่ได้แม้แต่เบี้ยบำนาญ ประกันสุขภาพ หรือความมั่นคงปลอดภัยเป็นพิเศษสำหรับครอบครัวของเขา ในชื่อบทความว่า “The Man Who Killed Osama bin Laden... is Screwed.”
ก่อนหน้านี้ แมตต์ บิสซอนเนตต์ อดีตสมาชิกหน่วยรบพิเศษซีลอีกรายก็เคยเปิดโปงรายละเอียดการบุกสังหารบิน ลาดิน ลงในหนังสือ “No Easy Day” เมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่เพนตากอนไม่พอใจอย่างยิ่งที่เขาละเมิดคำมั่นสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยข้อมูลลับ
ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาว่าบทความดังกล่าวของเอสไควร์มีข้อมูลลับถูกนำออกมาแฉหรือไม่
หลังปฏิบัติการบุกสังหารครั้งประวัติศาสตร์ เขาจึงเดินทางกลับฐานทัพในเมืองจาลาลาบัด อัฟกานิสถาน โดยพาเจ้าหน้าที่ซีไอเอหญิงรายหนึ่งไปตรวจสอบศพของบิน ลาดิน
“เรามองไปที่ศพ แล้วผมก็ถามว่า 'นั่นเป็นคนของคุณใช่ไหม' แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมา” เขากล่าว โดยเล่าว่า เขาถอดแมกกาซีนซึ่งยังมีกระสุนปืนอยู่ 27 นัดมอบให้เธอเป็นของที่ระลึกด้วย
เมื่อปฏิบัติการไล่ล่าแกนนำอัลกออิดะห์สิ้นสุดลง เขาเปิดเผยถึงความสำเร็จที่ไม่มีสมาชิกหน่วยซีลคนใดเสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บ แต่ในฤดูร้อน ปี 2012 หลังเกษียณราชการจากกองทัพ เขากลับเป็นกังวลว่าครอบครัวของเขาอาจถูกโจมตีแก้แค้น
และเนื่องจากเขาออกจากราชการ เมื่อทำงานรับใช้กองทัพสหรัฐฯ ได้เพียง 16 ปี เขาจึงไม่มีคุณสมบัติในการรับเบี้ยบำนาญ ที่จะมอบให้แก่ผู้ที่อยู่ในเครื่องแบบไม่ต่ำกว่า 20 ปีเท่านั้น
“เขามอบหลายสิ่งหลายอย่างกับประเทศของเขามากมาย แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาถูกทิ้งในฝุ่นละอองเท่านั้น” ภรรยาของเขากล่าว