เอเอฟพี/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - คิมเบอร์ลีย์ แม็กคาร์ธีย์ กลายเป็นสตรีรายแรกที่จะถูกประหารชีวิตในสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา หลังจากที่เธอถูกตัดสินให้รับโทษสูงสุดดังกล่าวที่มลรัฐเทกซัสจากความผิดฐานฆาตกรรมหญิงชราผิวขาววัย 70 รายหนึ่งระหว่างการปล้น
แม็กคาร์ธีย์ วัย 51 ปี ซึ่งเป็นสตรีผิวดำ และรอการถูกประหารชีวิตมานานถึง 14 ปี จะถูกนำตัวไปรับโทษประหารด้วยการฉีดยาในช่วงเย็นของวันอังคาร (29) ตามเวลาท้องถิ่นของมลรัฐเทกซัส หลังจากศาลสูงสหรัฐฯปฏิเสธคำร้องครั้งสุดท้ายของเธอส่งผลให้แม็กคาร์ธีย์จะกลายเป็นสตรีรายที่ 13 ที่ต้องถูกประหารชีวิต นับตั้งแต่มีการนำโทษประหารกลับมาใช้ในสหรัฐฯ อีกครั้งเมื่อ ค.ศ. 1976 และเป็นผู้หญิงรายที่ 4 ที่ถูกประหารในมลรัฐเทกซัสนับแต่ปีดังกล่าว
แม็กคาร์ธีย์ถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตเมื่อปี 1998 จากความผิดฐานฆาตกรรมเพื่อนบ้านของเธอ คือ นางโดโรธี บูท อดีตศาสตราจารย์เกษียณอายุเมื่อปี 1997 โดยข้อมูลของศาลระบุว่า ในวันเกิดเหตุ แม็กคาร์ธีย์ได้บุกเข้าไปในบ้านของนางบูทใกล้เมืองดัลลัส โดยอ้างว่าต้องการขอยืม “น้ำตาล” แต่เธอกลับฟาดหญิงสูงวัยแบบไม่ยั้งที่ใบหน้าด้วยเชิงเทียน และใช้มีดแทงนางบูทอีก 5 แผล นอกจากนั้นแม็กคาร์ธีย์ยังตัดนิ้วของผู้ตายไปนิ้วหนึ่งเพื่อขโมยแหวนเพชรอีกด้วย
ข้อมูลของศาลยังระบุว่า หลังจากที่แม็กคาร์ธีย์ลงมือสังหารผู้ตายอย่างเหี้ยมโหดแล้ว คนร้ายรายนี้ยังขับรถเมอร์เซเดส เบนซ์ของผู้ตายออกไปจากบ้านที่เกิดเหตุ และใช้บัตรเครดิตที่ขโมยมาจากผู้ตายไปรูดซื้อสินค้าอย่างน้อย 4 ครั้ง รวมถึงนำแหวนที่ขโมยจากนิ้วนางบูทไปจำนำในราคา 200 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5,970 บาท) ก่อนที่เธอจะถูกตำรวจจับตัวได้ในที่สุด ขณะที่อัยการยังกล่าวหาเธอว่าเคยลงมือสังหารผู้สูงอายุอื่นอีก 2 ราย
ขณะที่รายงานข่าวของสื่อท้องถิ่นระบุว่า หลังถูกตัดสินให้รับโทษประหารชีวิตในปี 1998 แม็กคาร์ธีย์ตัดสินใจต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ซึ่งศาลตัดสินให้เธอไม่ต้องรับโทษประหารชีวิต แต่ต่อได้มีการนำคดีของเธอกลับมาพิจารณาใหม่อีกครั้งเมื่อปี 2002 ซึ่งในครั้งนั้นศาลได้ตัดสินให้เธอรับโทษประหารชีวิตตามเดิมเหมือนคำตัดสินครั้งแรกในปี 1998