เอเอฟพี/รอยเตอร์ - โตโยต้า นิสสัน และฮอนด้า 3 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่แดนปลาดิบเผย ยอดขายปี 2012 พุ่งทำสถิติจากความต้องการซื้อที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่โตโยต้ายังสามารถทวงบัลลังก์ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกคืนจากเจเนอรัล มอเตอร์ส และโฟล์กสวาเกน
โตโยต้าเผยวันนี้ (28) ว่า ยอดขายรถยนต์ในปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 22.6% หรือ 9.75 ล้านคัน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทที่มีอายุ 75 ปีแห่งนี้ ขณะที่นิสสันมียอดขายสูงขึ้น 5.8% อยู่ที่ 4.94 ล้านคัน
ตัวเลขดังกล่าวยืนยันว่า โตโยต้าสามารถทวงคืนตำแหน่งแชมป์ยอดขายรถยนต์โลก ที่เสียให้กับบริษัทจีเอ็มในสหรัฐฯ ไปเมื่อปี 2011
ขณะที่จีเอ็มขายรถยนต์ในปี 2012 ได้ 9.28 คัน ขึ้นจากปีก่อนหน้า 2.9% ส่วนโฟล์กสวาเกนมียอดขาย 9.07 ล้านคัน ขึ้นมา 11.2%
โตโยต้าเคยครองอันดับ 1 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์อันดับ 1 ของโลกตั้งแต่ปี 2008-2010 แต่ต้องเสียแชมป์ร่วงมาอยู่อันดับ 3 ในปี 2011 ตามหลังจีเอ็ม และโฟล์กสวาเกน จากปัญหาหลายระลอก ทั้งวิกฤตเรียกคืนรถในสหรัฐฯ รวมทั้งการขาดแคลนชิ้นส่วน หลังมหาภัยพิบัติแผ่นดินไหว-สึนามิถล่มญี่ปุ่นวันที่ 11 มีนาคม และอุทกภัยครั้งใหญ่ในไทย
ยอดขายในภูมิภาคเอเชียที่แข็งแกร่ง และยอดขายที่เพิ่มขึ้นในอเมริกาเหนือช่วยผลักดันให้ตัวเลขยอดขายสูงขึ้น ชดเชยดีมานด์ที่อ่อนลงในยุโรป รวมถึงผลกระทบจากความขัดแย้งทางการทูตกับปักกิ่ง ซึ่งทำให้ลูกค้าในจีนบอยคอตสินค้าญี่ปุ่นช่วงท้ายปี
ในเดือนพฤศจิกายน โตโยต้าประกาศเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรเป็น 7.8 แสนล้านเยน จาก 7.6 แสนล้านเยน ในปีงบประมาณซึ่งสิ้นสุด ณ เดือนมีนาคม ทว่า คาดว่ายอดขายน่าจะอยู่ที่ 21.3 ล้านล้านเยน ต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ที่ 22 ล้านล้านเยน
ยิ่งไปกว่านั้น โตโยต้ายังตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกในปี 2013 นี้ ที่ 9.91 ล้านคัน ขึ้นอีก 1.6% จากปี 2012
ด้านนิสสัน ซึ่งบริษัทเรโนลต์ของฝรั่งเศสร่วมเป็นเจ้าของ เผยว่า ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐฯ สูงทำสถิติในปีที่ผ่านมา เน้นให้เห็นถึงดีมานด์ที่สูงขึ้นในตลาดยานยนต์สำคัญ
อย่างไรก็ตาม นิสสันเคยเตือนในเดือนพฤศจิกายนว่า กำไรสุทธิในปีงบประมาณนี้น่าจะอยู่ที่ 3.2 แสนล้านเยน ตกลง 20% จากที่ประเมินไว้ก่อนหน้า 4 แสนล้านเยน โดยอ้างถึงผลกระทบของการพึ่งพาตลาดจีนสูง
ส่วนฮอนด้า ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับที่ 3 ของญี่ปุ่น มียอดขาย 3.81 ล้านคันในปี 2012 ขึ้นจาก 3.09 ล้านคันในปีก่อนหน้า พร้อมกล่าวโทษประเด็นความขัดแย้งกับปักกิ่งในการแย่งชิงกรรมสิทธิ์หมู่เกาะเซงกากุ หรือเตี้ยวอี๋ว์ และเงินเยนแข็งค่า ที่ทำให้บริษัทได้กำไรน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ 20%
