รอยเตอร์ - กรุงไคโรประกาศห้ามนักเดินทางนำเงินตราต่างประเทศเข้าออกเกิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพยุงสถานะของเงินปอนด์อียิปต์ ขณะที่ประชาชนซึ่งไม่มั่นใจอนาคตเริ่มแห่ถอนเงินฝากออกจากธนาคารแล้ว
วิกฤตการเมืองในอียิปต์ตลอดเดือนที่ผ่านมาสร้างความหวั่นวิตกทั้งต่อประชาชนคนธรรมดาและนักลงทุน ซึ่งเกรงว่ารัฐบาลจะไม่สามารถคุมสถานะทางการคลังเอาไว้ได้ หลังจากที่ต้องเลื่อนแผนกู้ยืมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ไปเป็นเดือนมกราคมปีหน้า
ธนาคารกลางอียิปต์ใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศไปแล้วกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพยุงค่าเงินปอนด์อียิปต์ นับตั้งแต่เกิดกระแสลุกฮือขับไล่ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค เมื่อต้นปี 2011 ซึ่ง ณ ปัจจุบันอียิปต์เหลือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ไม่ถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่ามูลค่าการนำเข้าสินค้า 3 เดือนเท่านั้น
เหตุประท้วงทางการเมืองซึ่งทำลายความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้เศรษฐกิจอียิปต์ชะงักงัน และยอดขาดดุลงบประมาณของรัฐขยับขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ถึง 2 หลัก
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (24) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ยังปรับลดเครดิตระยะยาวของอียิปต์ลงมาเหลือ B- พร้อมเตือนว่าจะหั่นเรตติ้งลงอีก หากปัญหาการเมืองกระทบถึงภาคเศรษฐกิจและการคลัง
ยัสเซอร์ อาลี โฆษกประจำตัวประธานาธิบดี ออกมายืนยันนโยบายจำกัดการนำเงินเข้า-ออกประเทศ วานนี้(25) ซึ่งครอบคลุมทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐ และเงินตราต่างประเทศสกุลอื่นๆ รวมถึงห้ามส่งเงินสดผ่านระบบไปรษณีย์
นักเดินทางได้รับอนุญาตให้นำเงินตราต่างประเทศเข้าหรือออกจากอียิปต์ได้สูงสุดไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มูลค่าเกินกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไปจะต้องทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น อาลีเผย
ก่อนหน้านี้ นักท่องเที่ยวที่พกพาเงินสดเกินกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพียงสำแดงหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ ระหว่างเดินทางเข้าออกประเทศเท่านั้น
ธนาคารกลางอียิปต์ยังออกระเบียบให้ชาวอียิปต์สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศรวมไม่เกิน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ เว้นแต่จะสามารถแจ้งเหตุผลอันจำเป็น ซึ่งเศรษฐีอียิปต์ส่วนใหญ่ก็ใช้สิทธิ์จนถึงวงเงินสูงสุดแล้ว และไม่สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนไปต่างประเทศได้อีก
บรรดานายธนาคารอียิปต์เปิดเผยว่า ประชาชนเริ่มแห่ถอนเงินฝากตั้งแต่ประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มอร์ซี ประกาศกฤษฎีกาเพิ่มอำนาจให้ตนเองอยู่เหนือการตรวจสอบจากฝ่ายตุลาการเมื่อเดือนพฤศจิกายน จนนำไปสู่การประท้วงต่อต้านอย่างรุนแรง