กลาโหมรัสเซียประกาศรับสมัคร “แฮ็คเกอร์”เข้าทำงานโครงการวิจัยลับ คาดเตรียมเปิดสงครามไซเบอร์เต็มรูปแบบ

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-กระทรวงกลาโหมรัสเซียสร้างความฮือฮาครั้งใหญ่ ด้วยการประกาศรับสมัครนักเจาะระบบคอมพิวเตอร์หรือพวก “แฮ็คเกอร์” เข้าทำงานในโครงการวิจัยด้านข้อมูลความมั่นคง คาดรัฐบาลหมีขาวเตรียมเปิดเกมรุกในการทำสงครามบนโลกไซเบอร์เต็มรูปแบบ

รายงานข่าวระบุว่า อนาโตลี เอดูอาร์โดวิช เซอร์ดูคอฟ รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย วัย 50 ปีออกคำแถลงเมื่อวันพฤหัสบดี (18) ว่า มีความประสงค์ที่จะเปิดรับสมัครพวกแฮ็คเกอร์ที่มีความเชี่ยวชาญ ในการเจาะระบบข้อมูลด้านความมั่นคง การแพร่กระจายไวรัสคอมพิวเตอร์ และการเจาะระบบไฟร์วอลล์ รวมถึงการทำลายฐานข้อมูลขององค์กรต่างๆเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการวิจัยระดับ “ลับสุดยอด” ของรัฐบาลมอสโก

โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าทำงานในกระทรวงกลาโหมรัสเซีย โดยมีค่าตอบแทนรายเดือนที่สูงลิ่วและสวัสดิการก้อนโตจากรัฐบาลมอบให้ และถ้าแฮ็คเกอร์รายใดที่เคยมีคดีติดตัวเกี่ยวกับการกระทำผิดกฎหมายด้านคอมพิวเตอร์และความมั่นคง ก็จะได้รับการพิจารณาให้หลุดพ้นจากความผิดที่เคยก่อไว้ในอดีตโดยสิ้นเชิง

“แฮ็คเกอร์หนุ่มสาวชาวรัสเซียทั้งหลาย ขอได้โปรดนำความสามารถอันล้ำลึกของพวกคุณ มาใช้ให้เป็นประโยชน์กับประเทศของเราเถิด พวกคุณจะไม่ถูกขนานนามว่าเป็นอาชญากรหรือเป็นภัยสังคมอีกต่อไป เพราะจากนี้ พวกคุณคือผู้มีคุณูปการต่อรัสเซีย” เซอร์ดูคอฟกล่าว

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของกระทรวงกลาโหมรัสเซียมีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เปิดไฟเขียวอนุญาตให้ทางกระทรวงฯ เปิดรับสมัครคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่มีความสามารถเป็นเลิศในการเจาะข้อมูลและเชี่ยวชาญการโจมตีบนโลกไซเบอร์เข้าทำงาน โดยปูตินหวังให้แฮ็คเกอร์เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับศักยภาพของประเทศทั้งในด้านการ “ป้องกัน” หน่วยงานต่างๆให้รอดพ้นจากการโจมตีไซเบอร์จาก “ศัตรู” รวมถึง การ “เปิดฉากโจมตี” เป้าหมายก่อน เนื่องจากที่ผ่านมา ขีดความสามารถในด้านดังกล่าวของรัฐบาลรัสเซียยังด้อยกว่าโลกตะวันตกและจีน

ด้านวาเลรี ยาชเชนโก รองประธานสถาบันข้อมูลความมั่นคงแห่งมหาวิทยาลัยมอสโก เผยว่า โครงการวิจัยลับดังกล่าวของรัฐบาลรัสเซีย มีวัตถุประสงค์ทั้งในการป้องกันการถูกโจมตี และการโจมตีประเทศอื่น ไปพร้อมๆกัน พร้อมยืนยัน ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย เนื่องจากขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศอื่นๆ ต่างก็หันมาให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และรัสเซียก็มิอาจยอมให้ตนเองล้าหลังหรือเป็นฝ่ายถูกโจมตีทางไซเบอร์ก่อนได้