เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ธนาคารโลกตัดลดการประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับเอเชียลง ในวันจันทร์ (8) ถือเป็นสัญญาณเตือนล่าสุดที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากความอ่อนแอของดีมานด์ ในเวทีเศรษฐกิจระดับโลกที่มีต่อภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก พร้อมเตือนจีนที่เศรษฐกิจเริ่มลดความร้อนแรงลง ว่า อาจต้องเผชิญความเสี่ยงของการชะลอตัวเพิ่มเติม ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจโตได้แค่ร้อยละ 4.5
ธนาคารโลกซึ่งมีฐานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.ของสหรัฐฯและมีสมาชิกกว่า 188 ประเทศทั่วโลก ปรับลดเป้าการเติบโตของเขตเศรษฐกิจกำลังพัฒนาในเอเชียและแปซิฟิกลงเหลือร้อยละ 7.2 จากการประเมินครั้งก่อนเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ร้อยละ 7.6 ขณะเดียวกันก็ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีน ที่ได้ชื่อว่ามีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่ 2 ของโลก และใหญ่ที่สุดในเอเชีย-แปซิฟิกลงเหลือร้อยละ 7.7 จากเดิมที่คาดว่า เศรษฐกิจแดนมังกรอาจโตได้ถึงร้อยละ 8.2 เมื่อเดือนพฤษภาคม
“ยังมีปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่ยังคงเปราะบาง เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่เศรษฐกิจของจีน ขณะที่บรรดาผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลายจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว”
ธนาคารโลกเผยว่าความต้องการในตลาดโลกที่อ่อนแอลงนั้น เกิดจากภาวะเศรษฐกิจกับความท้าทายเรื่อง “ขอบผาทางงบประมาณ” ของสหรัฐฯ รวมถึงความถดถอยของเศรษฐกิจและวิกฤตหนี้สินในยุโรปที่ยืดเยื้อ
ในส่วนของจีนนั้น เวิลด์ แบงก์ชี้ว่าสาเหตุของการเติบโตที่ชะลอตัวลงในระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 ปีที่ร้อยละ 7.6 เมื่อช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการควบคุม หลังเห็นว่าเศรษฐกิจของตนเติบโตอย่างร้อนแรงมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงภาวะเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของประธานาธิบดีหูจิ่นเทาของจีนที่ออกมายอมรับก่อนหน้านี้ว่า เศรษฐกิจของจีนอาจชะลอตัวต่อไปอีกระยะหนึ่งก่อนฟื้นตัวดีขึ้น
ข้อมูลของธนาคารโลกเผยว่า เศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่นับรวมจีน) จะเติบโตได้ราวร้อยละ 5.5 ในปีนี้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกในภาพรวมจะเติบโตที่ราวร้อยละ 2.3 เท่านั้นในปีนี้ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.6 ในปีหน้า
ขณะที่อินโดนีเซียอาจมีการเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.1 ในปีนี้ส่วนเศรษฐกิจของมาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนามอาจเติบโตได้ราวร้อยละ 4.8, 5.0, 4.5 และ 5.2 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ธนาคารโลกเตือนว่า ประเทศในเอเชีย ที่ต้องอาศัยรายได้จากการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น จำเป็นต้อง “ปรับสมดุลใหม่” ด้วยการลดการพึ่งพาการส่งออกให้น้อยลงและหันไปกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศให้สูงขึ้น
