เอเอฟพี/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สองยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นที่กำลังดิ้นรนหนักเพื่อความอยู่รอดทางธุรกิจ อย่างโซนี่ และพานาโซนิค ประกาศวันนี้ (25) จับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันพัฒนาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ใช้เทคโนโลยีสุดล้ำหน้า ถือเป็นความพยายามล่าสุดของทั้งโซนี่และพานาโซนิคที่หวังจะทวงคืนส่วนแบ่งการตลาดจากคู่แข่งต่างแดน
แม้ทั้งโซนี่และพานาโซนิคจะได้ชื่อว่าเป็นคู่แข่งกันมาช้านาน แต่ล่าสุดทั้ง 2 บริษัทประกาศจับมือกันชนิดสะเทือนวงการเพื่อร่วมพัฒนาและผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ที่ใช้เทคโนโลยีจอภาพแบบ “organic light emitting diode” หรือ “OLED” ออกจำหน่ายในปีหน้า
โดยเทคโนโลยีล่าสุดนี้ โซนี่และพานาโซนิคต่างยืนยันว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่สิ้นเปลืองพลังงานน้อย แต่จะให้ภาพที่คมชัดยิ่งกว่าเครื่องรับโทรทัศน์แบบจอแบนทั่วไป ถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดที่คาดว่าจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมโทรทัศน์ยุคต่อไป แม้ในขณะนี้จะยังประสบปัญหาที่แก้ไม่ตกในการหาหนทางที่ลดต้นทุนให้ได้สูงสุดและทำกำไรให้ได้มากที่สุดในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้กับจอภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
การประกาศจับมือของยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งโซนี่และพานาโซนิคในครั้งนี้ยังถือเป็นครั้งแรกที่ทั้ง 2 บริษัทหันมาร่วมมือกันในสิ่งที่ถือเป็น “ธุรกิจหลัก” อย่างแท้จริง และอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์แดนปลาดิบที่ประสบมรสุมนานัปการตลอดหลายปีที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์มองว่า การประกาศตัวเป็นพันธมิตรของโซนี่ และพานาโซนิค ถือเป็นความพยายามของผู้บริหารบริษัททั้งสองแห่ง ในการตอบโต้ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ และแอลจี อิเล็กทรอนิกส์ คู่แข่งสำคัญจากเกาหลีใต้ที่ล่าสุดต่างเพิ่งประกาศเตรียมเปิดตัวเครื่องรับโทรทัศน์รุ่นใหม่ที่มีหน้าจอขนาด 55 นิ้วพร้อมเทคโนโลยี “OLED” ภายในปีนี้
อย่างไรก็ดี มิตซูชิเงะ อากิโนะ นักวิเคราะห์จากอิจิโยชิ อินเวสเมนต์ แมเนจเมนต์ในกรุงโตเกียว ให้ความเห็นว่า การประกาศจับมือของโซนี่และพานาโซนิคอาจมีขึ้น “ล่าช้าเกินไป” เพราะหากทั้งสองบริษัทต้องการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในตลาดจริงก็ควรร่วมมือกันในด้านนี้ตั้งแต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน สอดคล้องกับมุมมองของแอลวิน ลิม นักวิเคราะห์จาก “ฟิตช์ เรตติ้งส์” ที่ระบุว่า แม้โซนี่และพานาโซนิคจะจับมือเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ยังมีความล้าหลังบริษัทคู่แข่งจากเกาหลีใต้อยู่หลายก้าวในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีจอภาพแบบ “OLED”นี้
ทั้งนี้ โซนี่ และพานาโซนิค มีผลประกอบการขาดทุนรวมกันมากกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 478,340 ล้านบาท) ในปีการเงินที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม จากผลของยอดขายที่ลดฮวบและการก้าวเข้ามาแข่งขันอย่างดุเดือดเข้มข้นของคู่แข่งจากเกาหลีใต้ รวมถึงปัจจัยเรื่องการแข็งค่าของเงินเยน