เอเจนซี - “เฟซบุ๊ก” เพิ่มจำนวนหุ้นที่จะนำออกขายต่อสาธารณชนครั้งแรก ขึ้นอีกเกือบๆ 25% และน่าจะระดมเงินทุนได้สูงลิ่วถึง 16,000 ล้านดอลลาร์ เมื่อนักลงทุนยังคงมีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะมีส่วนเป็นเจ้าของเว็บไซต์เครือข่ายสังคมอันดับ 1 ของโลกแห่งนี้ จนกระทั่งไม่วิตกต่อกระแสถกเถียงเกี่ยวกับศักยภาพในการทำเงินระยะยาว
เฟซบุ๊ก ซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเมื่อ 8 ปีก่อนโดยมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ในหอพักมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด แถลงในวันพุธ(16)ว่า จะนำหุ้นออกมาเสนอขายต่อสาธารณชนครั้งแรก (ไอพีโอ) เพิ่มขึ้นอีกราว 84 ล้านหุ้น รวมแล้วจึงเท่ากับเสนอขายทั้งสิ้นประมาณ 421 ล้านหุ้น
บริษัท เฟซบุ๊ก อิงค์ ระบุในเอกสารที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์วันพุธว่า หุ้นที่นำออกมาเสนอขายเพิ่มเติมนี้ เป็นหุ้นของพวกนักลงทุนรุ่นแรกๆ ที่เข้าไปลงทุนในบริษัท เป็นต้นว่า ปีเตอร์ เธล ผู้ร่วมก่อตั้ง เพย์ พอล, เจมส์ เบรเยอร์ แห่ง แอคเซล พาร์ตเนอร์ส และ ไทเกอร์ โกบอล แมเนจเมนต์ กิจการบริหารจัดการการลงทุน ขณะที่บริษัทเฟซบุ๊กเองนั้น ไม่ได้เพิ่มจำนวนหุ้นที่จะขายแต่อย่างใด
เอกสารยื่นต่อตลาดของเฟซบุ๊กกล่าวด้วยว่า จากการนำหุ้นออกทำไอพีโอเพิ่มขึ้นเช่นนี้ จะทำให้คะแนนออกเสียงของซัคเคอร์เบิร์กลดต่ำลง จากประมาณ 57.3% เหลือราวๆ 55.8%
จำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่บริษัทแถลงเมื่อเร็วๆ นี้ว่าจะเพิ่มช่วงราคาในการทำไอพีโอ เห็นกันว่าจะทำให้เฟซบุ๊กกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าการทำไอพีโอสูงสุดอันดับ 3 ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยเป็นรองจากวีซ่า และเจรเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) เท่านั้น
เฟซบุ๊กกำลังตีฆ้องร้องป่าวเรื่องมีความต้องการซื้อหุ้นของบริษัทอย่างมากมายมหาศาล ถึงแม้รายได้ของตนและอัตราการขยายตัวของผู้ใช้กำลังชะลอลง ซึ่งกระตุ้นให้เกิดคำถามเกี่ยวกับอนาคตระยะยาวของเฟซบุ๊ก
ความกังวลเกี่ยวกับการขยายตัวในอนาคตของเฟซบุ๊ก ได้รับการเน้นย้ำอย่างชัดเจนในวันอังคาร (15) เมื่อบริษัทจีเอ็มแถลงว่า วางแผนจะถอนโฆษณาออกจากเครือข่ายทางสังคมแห่งนี้ เพราะไม่ค่อยจะช่วยส่งเสริมเรื่องยอดขายของตน
อย่างไรก็ดี ไบรอัน ไวเซอร์ นักวิเคราะห์ของพิโวทัล รีเสิร์ช กรุ๊ป มองว่าการประกาศของจีเอ็มจะไม่ส่งผลต่อการทำไอพีโอของเฟซบุ๊ก เนื่องจากไม่ได้สะท้อนถึงทัศนคติของผู้ลงโฆษณาทั้งหมด
การทำไอพีโอครั้งนี้ถือว่ามีมูลค่ามากที่สุดในบรรดาบริษัทไฮเทค ทิ้งกูเกิลที่มีมูลค่าไอพีโอเพียง 2,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2004 ไม่เห็นฝุ่น
จากเอกสารที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันอังคาร(15) เฟซบุ๊กระบุว่าจะปรับขึ้นช่วงราคาขายในการทำไอพีโอ จากหุ้นละ 28-35 ดอลลาร์ เป็น 34-38 ดอลลาร์เพื่อตอบรับดีมานด์ที่แข็งแกร่ง อันจะทำให้มูลค่าของบริษัทอยู่ที่ 93,000-104,000 ล้านดอลลาร์ ท้าทายมูลค่าตลาดของอเมซอนดอตคอม และแซงหน้าฮิวเลตต์-แพคการ์ดกับเดลล์รวมกัน
แม็กซ์ วอล์ฟ นักวิเคราะห์ของกรีนเครสต์ แคปิตอลชี้ว่า การขึ้นราคาทำให้มีแนวโน้มต่ำมากที่ราคาหุ้นของเฟซบุ๊กจะทะยานขึ้นเป็น 2 เท่าในวันเปิดตัว ซึ่งอาจเป็นไปได้หากบริษัทเลือกเปิดตัวด้วยช่วงราคาต่ำสุดจากแผนการเดิม
ทั้งนี้ ราคาหุ้นเฟซบุ๊กที่ซื้อขายในตลาดรองเคยขึ้นถึง 44 ดอลลาร์เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา
เฟซบุ๊กระบุในเอกสารที่ยื่นต่อตลาดวันอังคารว่า ตัดสินใจขึ้นราคาหุ้นภายหลังการทำตลาดนาน 1 สัปดาห์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการทำโรดโชว์ทั่วประเทศที่ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์ศักยภาพการทำเงินและเป้าหมายสำคัญของบริษัท
อนึ่ง ก่อนเพิ่มขนาดการทำไอพีโอ เฟซบุ๊กเล็งระดมทุนราว 12,100 ล้านดอลลาร์ โดยอิงกับราคากลางที่ 36 ดอลลาร์ต่อหุ้น และการเสนอขายครั้งแรก 337.4 ล้านหุ้น
ที่ราคากลางนี้ เฟซบุ๊กจะมีมูลค่ามากกว่ารายได้ในปีที่แล้ว 27 เท่า หรือ 99 เท่าของกำไร เทียบกับกูเกิลที่เข้าตลาดที่มูลค่า 23,000 ล้านดอลลาร์ หรือ16 เท่าของรายได้ และ 218 เท่าของกำไร ส่วนแอปเปิลเข้าตลาดในปี 1980 โดยมีมูลค่ามากกว่ารายได้ 25 เท่า และ 102 เท่าของกำไร
กระนั้น การทำไอพีโอของเฟซบุ๊กเกิดขึ้นขณะที่นักลงทุนบางคนห่วงว่า บริษัทยังไม่ได้คิดหาทางทำเงินจากจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นที่เข้าใช้เครือข่ายสังคมผ่านอุปกรณ์มือถือ เช่น สมาร์ทโฟน ขณะที่การเติบโตของรายได้สำคัญจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ของเฟซบุ๊กชะลอลงในช่วงหลายเดือนมานี้
จากจำนวนผู้ใช้ราว 900 ล้านคน เฟซบุ๊กมีกำไรสุทธิ 1,000 ล้านดอลลาร์ จากรายได้ 3,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2011
บริษัทยังขยายกรอบเวลาในการซื้อ อินสตราแกรม บริษัทผู้ผลิตแอปฯ บนอุปกรณ์มือถือ ในราคา 1,000 ล้านดอลลาร์ โดยคาดว่าจะปิดข้อตกลงได้ในปีนี้ จากที่เคยระบุไว้ว่าจะเป็นในไตรมาสปัจจุบัน ซึ่งเรื่องนี้แหล่งข่าวเผยว่า เกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมาธิการการค้ายุติธรรมของสหรัฐฯ ติดต่อขอข้อมูลจากกูเกิลและทวิตเตอร์ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาดีลซื้อขายกิจการนี้
ทั้งนี้ มีรายงานว่าเฟซบุ๊กมีกำหนดตั้งราคาหุ้นในวันพฤหัสบดี (17) และเริ่มเทรดในวันรุ่งขึ้นในตลาดแนสแด็ก โดยมีแบงก์ชั้นนำในวอลล์สตรีทมากมาย นำโดยมอร์แกน สแตนเลย์, เจพีมอร์แกน และโกลด์แมน แซกส์ ทำหน้าที่อันเดอร์ไรต์