เอเอฟพี - หน่วยปราบปรามยาเสพติดสหรัฐฯ ออกมาขออภัย วานนี้ (2) หลังนักศึกษาอเมริกันรายหนึ่งร้องเรียนว่า ตนถูกเจ้าหน้าที่ขังลืมอยู่ในคุกนานถึง 5 วันโดยไม่ให้ข้าวให้น้ำ จนต้องดื่ม “ปัสสาวะ” ประทังชีวิต
แดเนียล ชอง วัย 23 ปี ถูกส่งเข้าเรือนจำเมืองซานดิเอโก หลังเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (ดีอีเอ) บุกรวบตัวเขาพร้อมกับเพื่อนอีก 8 คน เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีของกลางเป็นปืน, วัตถุระเบิด และยาเสพติดจำนวนหนึ่ง
ชอง ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (ยูซี) เรียกร้องค่าเสียหาย 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากเหตุการณ์ซึ่ง “เปลี่ยนแปลงชีวิต” ของเขา โดยระบุว่า ตนถูกทิ้งไว้ในห้องขังขนาด 5 ×10 ฟุต โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มาเหลียวแล สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีรายงาน
เมื่อไม่มีทั้งอาหารและน้ำดื่ม ชองจึงตัดสินใจดื่มปัสสาวะตนเอง และรับประทานผงสีขาวชนิดหนึ่งที่ตกอยู่ภายในห้องขัง ซึ่งภายหลังมาทราบว่าเป็นยาบ้า
“ผมจำเป็นต้องพึ่งตัวเองทุกวิถีทาง พอวันที่ 3 ก็เริ่มมีอาการประสาทหลอน” ชองกล่าว พร้อมระบุว่าความทรมานในห้องขังทำให้น้ำหนักหายไปถึง 7 กิโลกรัม
ชอง ซึ่งขณะนั้นมีอาการคล้ายคนบ้า พยายามฆ่าตัวตายในคุกด้วยการทุบกระจกแว่นตาตัวเอง และนำมากรีดแขนเป็นข้อความ “แม่ ผมขอโทษ” ซึ่งภายหลังพยาบาลยังพบเศษแก้วในลำคอของเขา อันแสดงให้เห็นว่าชองพยายามจะกลืนเศษแก้วเข้าไป
ดีอีเอยืนยันว่ามีการจับกุมนักศึกษาเกิดขึ้นจริง
“นักศึกษาชายคนดังกล่าวอยู่ในบ้านหลังนั้นกับเพื่อนๆ ของเขา ซึ่งเขาก็ยอมรับเอง จากนั้นเราได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดกลับมาที่สำนักงานดีอีเอ เพื่อพิมพ์ลายนิ้วมือ, ถ่ายรูป และสอบสวน” ดีอีเอระบุในถ้อยแถลง
“ระหว่างนั้น ผู้ต้องหาแต่ละคนจะถูกย้ายไปตามห้องขัง 5 ห้อง แต่ละคนจะถูกสอบสวนแยก และมีการย้ายตัวผู้ต้องหาไปตามห้องต่างๆ หลายครั้ง... เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว ผู้ต้องหา 7 คนถูกนำส่งสถานพินิจประจำเทศมณฑล อีก 1 คนได้รับการปล่อยตัว ส่วนนักศึกษาคนนี้เจ้าหน้าที่ลืมทิ้งไว้ในห้องขังโดยไม่เจตนา”
วิลเลียม อาร์. เชอร์แมน เจ้าหน้าที่พิเศษประจำสำนักงาน ดีอีเอ เมืองซานดิเอโก กล่าวว่า “ผมเสียใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว... ผมขออภัยอย่างสุดซึ้งต่อนักศึกษาคนนั้นด้วย และขอบอกว่า เหตุการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนถึงมาตรฐานการทำงานที่ผมสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชา ผมได้สั่งให้ทบทวนนโยบายและกระบวนการทำงานทั้งหมดแล้ว”
ชองบอกกับเอ็นบีซีว่ารู้สึกแปลกใจมากที่เจ้าหน้าที่ลืมเขาไว้ในห้องขัง
“พวกเขาไม่กลับมาดู และไม่สนใจเสียงร้องเรียกของผมด้วย ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
แดเนียล ชอง วัย 23 ปี ถูกส่งเข้าเรือนจำเมืองซานดิเอโก หลังเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติด (ดีอีเอ) บุกรวบตัวเขาพร้อมกับเพื่อนอีก 8 คน เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา โดยมีของกลางเป็นปืน, วัตถุระเบิด และยาเสพติดจำนวนหนึ่ง
ชอง ซึ่งเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนีย (ยูซี) เรียกร้องค่าเสียหาย 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากเหตุการณ์ซึ่ง “เปลี่ยนแปลงชีวิต” ของเขา โดยระบุว่า ตนถูกทิ้งไว้ในห้องขังขนาด 5 ×10 ฟุต โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มาเหลียวแล สถานีโทรทัศน์เอ็นบีซีรายงาน
เมื่อไม่มีทั้งอาหารและน้ำดื่ม ชองจึงตัดสินใจดื่มปัสสาวะตนเอง และรับประทานผงสีขาวชนิดหนึ่งที่ตกอยู่ภายในห้องขัง ซึ่งภายหลังมาทราบว่าเป็นยาบ้า
“ผมจำเป็นต้องพึ่งตัวเองทุกวิถีทาง พอวันที่ 3 ก็เริ่มมีอาการประสาทหลอน” ชองกล่าว พร้อมระบุว่าความทรมานในห้องขังทำให้น้ำหนักหายไปถึง 7 กิโลกรัม
ชอง ซึ่งขณะนั้นมีอาการคล้ายคนบ้า พยายามฆ่าตัวตายในคุกด้วยการทุบกระจกแว่นตาตัวเอง และนำมากรีดแขนเป็นข้อความ “แม่ ผมขอโทษ” ซึ่งภายหลังพยาบาลยังพบเศษแก้วในลำคอของเขา อันแสดงให้เห็นว่าชองพยายามจะกลืนเศษแก้วเข้าไป
ดีอีเอยืนยันว่ามีการจับกุมนักศึกษาเกิดขึ้นจริง
“นักศึกษาชายคนดังกล่าวอยู่ในบ้านหลังนั้นกับเพื่อนๆ ของเขา ซึ่งเขาก็ยอมรับเอง จากนั้นเราได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดกลับมาที่สำนักงานดีอีเอ เพื่อพิมพ์ลายนิ้วมือ, ถ่ายรูป และสอบสวน” ดีอีเอระบุในถ้อยแถลง
“ระหว่างนั้น ผู้ต้องหาแต่ละคนจะถูกย้ายไปตามห้องขัง 5 ห้อง แต่ละคนจะถูกสอบสวนแยก และมีการย้ายตัวผู้ต้องหาไปตามห้องต่างๆ หลายครั้ง... เมื่อสอบสวนเสร็จแล้ว ผู้ต้องหา 7 คนถูกนำส่งสถานพินิจประจำเทศมณฑล อีก 1 คนได้รับการปล่อยตัว ส่วนนักศึกษาคนนี้เจ้าหน้าที่ลืมทิ้งไว้ในห้องขังโดยไม่เจตนา”
วิลเลียม อาร์. เชอร์แมน เจ้าหน้าที่พิเศษประจำสำนักงาน ดีอีเอ เมืองซานดิเอโก กล่าวว่า “ผมเสียใจอย่างยิ่งกับเหตุการณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว... ผมขออภัยอย่างสุดซึ้งต่อนักศึกษาคนนั้นด้วย และขอบอกว่า เหตุการณ์นี้ไม่ได้สะท้อนถึงมาตรฐานการทำงานที่ผมสั่งสอนผู้ใต้บังคับบัญชา ผมได้สั่งให้ทบทวนนโยบายและกระบวนการทำงานทั้งหมดแล้ว”
ชองบอกกับเอ็นบีซีว่ารู้สึกแปลกใจมากที่เจ้าหน้าที่ลืมเขาไว้ในห้องขัง
“พวกเขาไม่กลับมาดู และไม่สนใจเสียงร้องเรียกของผมด้วย ผมไม่เข้าใจว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร”
