เอเอฟพี/เอเจนซี - อิหร่าน และเหล่าประเทศมหาอำนาจเห็นพ้องต้องกันในการเจรจาที่กรุงอิสตันบูลวานนี้ (14) ว่าจะให้จัดการประชุมหารือลงรายละเอียดกันอีกครั้ง ณ กรุงแบกแดด ในเดือนหน้า โดยชาติตะวันตกเตือนเตหะรานถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อคลายความกังวลเกี่ยวกับโครงการผลิตอาวุธนิวเคลียร์
แคเธอรีน แอชตัน รัฐมนตรีด้านนโยบายต่างประเทศของอียู กล่าวว่า การเจรจาร่วมกับซาอีด จาลีลี หัวหน้าคณะผู้แทนของอิหร่าน ในกรุงอิสตันบูลเป็นไปอย่าง “สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์” แต่เตือนว่า การพบกันอีกครั้งในกรุงแบกแดดวันที่ 23 พฤษภาคมนั้นต้องคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมกว่านี้
ขณะที่สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่น เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเข้าถึงแก่ของประเด็นปัญหาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของเตหะรานที่ยืดเยื้อยาวนานมานับสิบปีให้ได้ ในการเจรจารอบหน้า
การเจรจาที่กรุงอิสตันบูลนี้ จัดขึ้นระหว่างอิหร่าน และประเทศมหาอำนาจ 5+1 ได้แก่ สหรัฐฯ รัสเซีย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยเป็นการหารือกันครั้งแรกในรอบ 15 เดือน และเกิดขึ้นหลังความตึงเครียดทวีความรุนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ทำเนียบขาวชื่นชมว่า อิหร่าน และประเทศมหาอำนาจ ต่างมีทัศนคติที่เป็นบวก ในการเจรจาวันเสาร์ (14) แต่เบน โรดส์ รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวย้ำถึงข้อเรียกร้องของวอชิงตัน ที่ให้เตะหรานดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม
ด้านอังกฤษ และฝรั่งเศส มีความเห็นไปในทางเดียวกันว่า การเจรจาที่อิสตันบูลนี้เป็นเพียงก้าวแรกของการปลดอาวุธนิวเคลียร์อิหร่าน โดยเตหะรานจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับโลกว่าจะปฏิบัติตามข้อห้ามสากล และไม่มุ่งหมายที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์
ส่วนจาลีลี ในฐานะผู้แทนของอิหร่านนั้น ได้กล่าวยกย่องอีกฝ่ายสำหรับการเจรจาหารือ และความร่วมมือ ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกบอกกับประชาชนชาวอิหร่านว่า การข่มขู่ และกดดันต่างๆ นั้นไม่ได้ผลกับประเทศ
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการเจรจารอบสองจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่อิหร่านก็ยังยืนกรานถึงสิทธิในการดำเนินโครงการนิวเคลียร์อย่างสันติ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการผ่อนคลายมาตรการลงโทษต่างๆ
จาลีลีกล่าวในการแถลงข่าวหลังการประชุมดังกล่าวว่า เตหะรานจำเป็นต้องเสริมสมรรถนะยูเรเนียม 20% เพื่อใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า อันเป็นสิทธิที่ประเทศสมาชิกทุกประเทศควรได้รับ และใช้ประโยชน์ในทางสันติ