เอเอฟพี - รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เลียน เพเนตตา ชี้กองทัพสหรัฐฯ จะไม่ยอมลดอาวุธนิวเคลียร์เพียงฝ่ายเดียวแน่นอน หลังจากที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา เผยต่อที่ประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ว่า วอชิงตันมีอาวุธนิวเคลียร์เกินกว่าความต้องการ
“ท่านประธานาธิบดีใส่ใจเสมอที่จะมองหาวิธีที่เราสามารถลดอาวุธนิวเคลียร์ลงได้” เพเนตตา กล่าวต่อผู้สื่อข่าววานนี้ (26) ระหว่างเดินทางไปยังกรุงออตตาวา เพื่อพบกับรัฐมนตรีกลาโหมของแคนาดาและเม็กซิโก
“เราเคยทบทวนเรื่องอาวุธนิวเคลียร์และเสนอทางเลือกแก่ประธานาธิบดีแล้ว แต่ผมขอชี้แจงตรงๆ ว่า ทางเลือกเหล่านี้จะต้องไม่ใช่การลดอาวุธของสหรัฐฯ ฝ่ายเดียว และต้องมีพื้นฐานจากการเจรจาทวิภาคีกับรัสเซีย” เพเนตตาย้ำ
ในการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่กรุงโซล วานนี้(26) โอบามา แถลงว่า สหรัฐฯมีการใช้งานอาวุธนิวเคลียร์ราว 1,500 หัว และหัวรบอีกราว 5,000 หัว ซึ่ง “มากเกินความจำเป็น”
“ผมเชื่อแน่นอนว่า เราสามารถปกป้องความมั่นคงของสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตร อีกทั้งป้องกันภัยคุกคามใดๆ ก็ตามควบคู่ไปกับการลดอาวุธนิวเคลียร์ลงได้” โอบามากล่าว
โอบามาเผยด้วยว่า จะหารือกับว่าที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ซึ่งจะมีการพบปะกันในเดือนพฤษภาคมนี้ เกี่ยวกับการลดจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์, อาวุธด้านเทคนิคที่ใช้ในสนามรบ ตลอดจนปริมาณหัวรบนิวเคลียร์ในคลัง
สนธิสัญญาลดอาวุธทางยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ซึ่งเริ่มมีผลบังคับเมื่อปี 2011 กำหนดให้สหรัฐฯ และรัสเซียต้องลดการครอบครองหัวรบนิวเคลียร์สูงสุดลงอีก 30 เปอร์เซ็นต์ หรือไม่เกินประเทศละ 1,550 หัว อีกทั้งจำกัดจำนวนขีปนาวุธพิสัยไกล และเครื่องบินทิ้งระเบิดให้ไม่เกินประเทศละ 700 ลำ
สนธิสัญญาดังกล่าวซึ่งมาทดแทนสนธิสัญญาฉบับปี 1991 ที่หมดอายุไปเมื่อปี 2009 ถือเป็นหนึ่งในความสำเร็จด้านนโยบายต่างประเทศชิ้นโบแดงของรัฐบาลโอบามา