เทเลกราฟ - กลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง อัล-ชาบับ มักลักพาตัวเด็กสาววัยรุ่นในโซมาเลียไปทำงานเป็นคนรับใช้ และบังคับให้เด็กสาวรุ่นเหล่านี้แต่งงานกับนักรบของกลุ่ม ฮิวแมนไรต์วอตช์เปิดแฟ้มรายงานเรื่องการละเมิดสิทธิเด็กในสงครามกลางเมืองโซมาเลีย
ระหว่างสงครามทวีความรุนแรงขึ้นใน 2 ปีที่ผ่านมา กลุ่มอัล-ชาบับ ยังลักพาตัวเด็กผู้ชายเพิ่มมากขึ้น เพื่อบังคับให้เด็กๆ ซึ่งบางคนเพิ่งอายุ 10 ปี เป็นทหารแนวหน้าร่วมกับนักรบชั้นปลายแถว มีแม้กระทั่งการใช้ปืนจี้เด็กทั้งชั้นเรียนขึ้นรถบรรทุกที่จอดรออยู่หน้าโรงเรียน รายงานเรื่อง “No Place for Children” ระบุ
นักวิจัยของฮิวแมนไรต์วอตช์ ยังพบว่า หลังจากถูกฝึกอย่างหนักหลายสัปดาห์ กลุ่มเด็กผู้ชายจะถูกส่งไปรบในแนวหน้า และบ่อยครั้งเด็กๆ จะถูกใช้เป็นโล่กันกระสุนให้กับนักรบรุ่นใหญ่ที่แอบอยู่ข้างหลัง
นักรบเด็กที่คิดหนีจาก อัล-ชาบับ หากไม่ถูกฆ่าทิ้ง ก็ต้องเผชิญกับการเดินทางที่ทั้งไกลและทุรกันดาร เพื่อจะหาที่หลบภัย ซึ่งอาจต้องข้ามชายแดนไปยังเคนยา ส่วนเด็กหญิงที่คิดขัดขืนคำสั่งก็จะถูกฆ่าทิ้งอย่างเลือดเย็น ฮิวแมนไรต์วอตช์ ยกตัวอย่างกรณีของเด็กหญิงวัย 16 ปี คนหนึ่งที่ไม่ยอมแต่งงานกับหัวหน้านักรบที่อายุแก่กว่าถึง 3 เท่า เธอถูกฆ่าตัดคอยังไม่พอ ศีรษะที่หลุดจากบ่าของเธอถูกนำกลับไปยังโรงเรียนที่เธอถูกจับตัวมา เพื่อเตือนไม่ให้เด็กสาวคนอื่นกล้าขัดคำสั่ง
“พวกมันเรียกเด็กสาวทุกคนมารวมกัน แล้วบอกว่า “นี่คือตัวอย่าง ถ้าพวกแกทำตัวไม่ดี” ครูในโรงเรียนดังกล่าวให้ข้อมูลกับฮิวแมนไรต์วอตช์ ซึ่งได้สัมภาษณ์ชาวโซมาเลียอพยพมากกว่า 160 คน ในการจัดทำรายงานชิ้นนี้
นักศึกษาวัย 19 ปี คนหนึ่งเล่าฉากการจับตัวเด็กสาวให้ฟังว่า “กลุ่มผู้หญิงจะถูกปืนจี้ มีคนหนึ่งขัดขืน พวกอัล-ชาบับ ก็ยิงเธอที่หน้าผากตรงหน้าห้องเรียนของเรา พวกมันบอกว่าเธอคนนั้นเป็นสายลับของรัฐบาล เธอเพิ่งอายุ 19 เองแท้ๆ”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่กลุ่มอัล-ชาบับ ถูกประณามเรื่องการละเมิดสิทธิมุนษยชนขั้นร้ายแรง แต่รัฐบาลกลางเพื่อการถ่ายโอนอำนาจ (ทีเอฟจี) ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากตะวันตก ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องทหารเด็กเช่นกัน หลายๆ เสียงพูดตรงกันว่า รัฐบาลก็เกณฑ์เด็กเข้าทำสงคราม เพียงแต่ไม่ได้ใช้วิธีการข่มขู่ป่าเถื่อนเหมือนอัล-ชาบับ
ซามา คูร์เซน-เนฟฟ์ รองผู้อำนวยการสิทธิเด็กของฮิวแมนไรต์วอตช์ กล่าวว่า รัฐบาลตะวันตกที่สนับสนุนรัฐบาลกลางถ่ายโอนอำนาจโซมาเลีย เช่น อังกฤษ ควรแสดงท่าทีชัดเจนว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องไม่เกิดขึ้นที่นี่