เผย “บิน ลาดิน” สั่งลูกอย่าเดินตามรอยพ่อ ย้ำ “เรียนให้สูง-อยู่ให้สงบ” ในโลกตะวันตก

เอเอฟพี - อุซามะห์ บิน ลาดิน แกนนำอัลกออิดะห์ผู้ล่วงลับ เคยสั่งเสียกับลูกๆ ให้ใช้ชีวิตโดยสงบในโลกตะวันตก และเข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย บทสัมภาษณ์พี่ชายของภรรยาคนที่ 5 ของบิน ลาดิน ได้รับการเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์ซันเดย์ ไทม์ส ฉบับวันอาทิตย์ (12)

ซากาเรีย อัล-ซาดาห์ พี่ชายของ อามาล ภรรยาชาวเยเมนของบิน ลาดิน เปิดเผยผ่านหนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับดังกล่าวว่า บิน ลาดิน เชื่อว่าลูกๆ “ไม่ควรเดินตามรอยทาง” สู่ญิฮาด หรือสงครามศักดิ์สิทธิ์ ตามแนวทางของอัลกออิดะห์

“เขาบอกลูกกับหลานว่า ‘ไปที่ยุโรป อเมริกา และเรียนให้สูงๆ’” อัล-ซาดาห์ ถ่ายทอดคำพูดของบิน ลาดิน “พวกลูกต้องเข้าเรียน ใช้ชีวิตโดยสงบ และอย่าทำสิ่งที่พ่อกำลังทำ หรือทำไปแล้ว”

ทั้งนี้ อุซามะห์ บิน ลาดิน ถูกหน่วยซีลส์สหรัฐฯ บุกสังหารคาที่พำนักเมื่อเดือนพฤษภาคม 2011 ในเมืองอับบอตตาบัด ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน หลังจากใช้ชีวิตในป้อมปราการดังกล่าวมานานอย่างน้อย 5 ปี

อัล-ซาดาห์ เพิ่งได้พบกับ อามาล น้องสาวของเขา ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตั้งแต่เธอถูกยิงบริเวณหัวเข่าระหว่างซีลส์บุกสังหารบิน ลาดิน หลังจากนั้น อัล-ซาดาห์ ก็ได้พบอามาลอีกหลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะมีเจ้าหน้าที่ปากีสถานอยู่ด้วยตลอดเวลา

ตั้งแต่บิน ลาดิน เสียชีวิต ภรรยาหม้าย 3 คน และเด็กๆ อีก 9 คน ถูกทางการปากีสถานควบคุมตัวอยู่ในกรุงอิสลามาบัดภายในอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งที่มีห้อง 3 ห้อง

เจ้าหน้าที่จากกรมประมวลข่าวกรองกลาง (ไอเอสไอ) ของปากีสถาน จะคอยเฝ้าผู้หญิงและเด็กกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด อัล-ซาดาห์ เปิดเผย

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ซันเดย์ ไทม์ส ยังได้ตีพิมพ์ภาพที่อ้างว่าเป็นภาพเด็กๆ ซึ่งประกอบด้วย ลูกชาย 2 คน ลูกสาว 1 คน หลานชาย 2 คน และหลานสาวอีก 1 คน ของบิน ลาดิน

อัล-ซาดาห์ ระบุว่า เด็กๆ ยังคงมีอาการขวัญผวา หลังจากเห็นหน่วยซีลส์ลั่นกระสุนสังหาร บิน ลาดิน ต่อหน้าต่อตา

“พวกเด็กเห็นพ่อถูกฆ่า พวกเขาต้องการสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยเยียวยา ไม่ใช่ติดอยู่ในคุก”

คณะกรรมการของปากีสถานที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบการสังหาร บิน ลาดิน ระบุว่า ในเดือนตุลาคม ได้ยกเลิกคำสั่งห้ามเดินทางของครอบครัวบิน ลาดิน และอัล-ซาดาห์ ได้เดินทางไปยังกรุงอิสลามาบัด เพื่อรับ อามาล และหลานๆ กลับบ้านที่เยเมน ในเดือนพฤศจิกายน

อย่างไรก็ตาม อัล-ซาดาห์ ระบุว่า ทางการปากีสถานกลับไม่ยอมให้เขาพาตัวน้องสาวและหลานออกจากประเทศ สำหรับข้อกล่าวหานี้ อิสลามาบัดยังไม่ได้ออกมาตอบโต้แต่อย่างใด