เอเจนซี/เอเอฟพี - ราคาน้ำมันลอนดอนขยับขึ้น 2 วันติดวานนี้ (4) แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ หลังสหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการห้ามนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน ด้านวอลล์สตรีท ปิดบวกเล็กน้อย จากข้อมูลอันสดใสของภาคอุตสาหกรรมรถยนต์สหรัฐฯ
ขณะที่ความตึงเตรียดระหว่างอิหร่านกับชาติตะวันตกลุกลามขยายตัวขึ้นปกคลุมตลาดน้ำมันมาหลายสัปดาห์ เมื่อวันพุธ (4) ตลาดก็ต้องตกอยู่ในอาการหวาดหวั่นเพิ่มเติม หลังผู้แทนทูตของสหภาพยุโรปเผยว่าพวกเขาบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในมาตรการห้่ามนำเข้าน้ำมันจากเตหะราน แต่ยังไม่ได้ผลสรุปว่าจะมีนำมาบังคับใช้เมื่อไหร่ และข่าวนี้ก็ส่งผลให้ราคาน้ำมันนิวยอร์กพุ่งขึ้นเกือบ 2 ดอลลาร์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อิหร่านออกมาขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางลำเลียงน้ำมันสำคัญของโลกหากโดนชาติตะวันตกคว่ำบาตรเพิ่มเติม ดังนั้นความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของอียูก็ผลักดันให้ตลาดน้ำมันตกอยู่ในความเสี่ยงหนักขึ้นไปอีก
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 26 เซ็นต์ ปิดที่ 103.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.57 ดอลลาร์ ปิดที่ 113.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ วานนี้ (4) ซื้อขายผันผวน ก่อนแกว่งตัวปิดในแดนบวกได้ในช่วงบ่าย จากข้อมูลยอดขายที่แข็งแกร่งของ 3 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศ
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 21.04 จุด (0.17 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,418.42 แนสแดค ลดลง 0.36 จุด (0.01 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,648.36 เอสแอนด์พี ลดลง 0.24 จุด (0.02 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,277.30
ความเคลื่อนไหวในทางบวกของวอลล์สตรีทมีขึ้นหลังจาก 3 บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ในเมืองดีทรอยต์หรือบิ๊กทรีเปิดเผยยอดขายภายในประเทศอันแข็งแกร่งในเดือนธันวาคม และคาดหมายถึงผลประกอบการตลอดทั้งปีที่ดีขึ้นจากปี 2010 ที่อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องผจญกับภาวะถดถอยอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ โดยรวมแล้วทั้งจีเอ็ม ฟอร์ด และไครสเลอร์ ประมาณการณ์ว่าในปี 2011 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมกันอยู่ราวๆ 13 ล้านคัน เพิ่มขึ้นราวร้อยละ จากยอดขายรวม 11.8 ล้านคันในปี 2010 ขณะที่ข้อมูลอย่างเป็นทางการจะมีการเผยแพร่ออกมาในภายหลัง