เอเจนซี - ยอดผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติครั้งเลวร้ายที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษของฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้นเป็น 1,249 รายและยังสูญหายอีกถึง 1,100 คน ขณะที่กบฏคอมมิวนิสต์ประกาศล่าตัวผู้ที่ต้องรับผิดชอบมาลงโทษ
อิทธิพลของไต้ฝุ่นวาชิทำให้ฝนตกหนัก น้ำในแม่น้ำเอ่อล้นตลิ่ง นำมาซึ่งน้ำท่วมฉับพลันพัดพาเอาดินถล่มและท่อนซุงซัดถล่มหลายหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำและริมชายฝั่งบนเกาะมินดาเนาในช่วงกลางเดือนธันวาคม จนทำให้บ้านเรือนกว่า 10,000 หลังได้รับความเสียหายและประชาชนมากกว่า 300,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย โดยส่วนใหญ่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานพักพิงชั่วคราว
เบนิโต รามอส ผู้อำนวยการบริหารสภาการจัดการและลดความเสี่ยงภัยพิบัติแห่งชาติของฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่ายอดผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังกลุ่มชาวประมงของเกาะโบโฮล สามารถกู้ศพเหยื่อที่ถูกน้ำทะเลซัดลอยออกไปไกลหลายกิโลเมตรได้จำนวนหนึ่ง
“ตราบใดที่ยังมีศพอยู่ที่นั่น เราก็จะปฏิบัติการค้นหาและกู้ศพต่อไป แม้จะต้องทำงานจนข้ามปีก็ตาม” เขากล่าว หลังจากเจ้าหน้าที่ได้ขยายอาณาเขตค้นหาศพทางทะเลเพิ่มเป็นรัศมี 300 กิโลเมตร
ประธานาธิบดี เบนีโญ อากีโน ซึ่งลงพื้นที่ประสบภัยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้สั่งให้มีการสืบสวนพร้อมกับตั้งคำถามว่าทำไมเจ้าหน้าที่ถึงอนุญาตให้ชาวบ้านปลูกบ้านในเขตอันตรายและไม่เข้าขัดขวางการตัดไม่้ทำลายป่าที่ผิดกฎหมาย
ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้และเหมืองแร่ต้องลาออก ส่วนเจ้าหน้าที่ตรวจการรายหนึ่งของจังหวัดลาเนา เดล ซูร์ ถูกปลดจากตำแหน่ง หลังจากพบว่าท่อนซุงเกือบทั้งหมดที่ถูกนำซัดพาเข้าถล่มบ้านเรือนราษฎรมาจากจังหวัดแห่งนี้
เมื่อวันจันทร์ (26) พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งอยู่ระหว่างฉลองครบรอบ 43 ปีแห่งการก่อตั้ง สั่งการให้กองโจรระดมทุนและเข้าช่วยเหลือปฏิบัติการบรรเทาภัย พร้อมขู่ว่าพวกเขาจะลงโทษผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อภายนะครั้งนี้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ตามฝ่ายกองทัพบอกว่าพวกกบฏเพียงต้องการใช้ภับพิบัติเป็นข้ออ้างในการขู่กรรโชกบริษัทเหมืองแร่ พื้นสวนไร่นา ตัดไม้และก่อสร้างมากกว่า
ทั้งนี้ มีเพียงร้อยละ 30 ของศพเท่านั้นได้สามารถพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลได้แล้ว เนื่องจากผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ที่ถูกพบอยู่ใต้โคลน ซากหักพังและทะเลไม่มีประวัติฟัน ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับดีเอ็นเอของประชาชน
