เอเอฟพี - ทางการอังกฤษประกาศเนรเทศคณะนักการทูตอิหร่านออกจากประเทศภายใน 48 ชั่วโมง พร้อมทั้งสั่งปิดสถานทูตประจำกรุงเตหะราน วานนี้ (30 พ.ย.) หลังเกิดเหตุผู้ประท้วงอิหร่านบุกรุกสถานทูตอังกฤษ รื้อทำลาย และเผาธงยูเนียนแจ๊ก เนื่องจากโกรธแค้นที่ถูกดำเนินมาตรการประกาศคว่ำบาตรรอบใหม่ ว่าด้วยเรื่องโครงการนิวเคลียร์
อิหร่านออกโรงเตือนรัฐบาลอังกฤษให้คำนึงถึงปฏิกิริยาสะท้อน และเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรป “อย่า” ดำเนินรอยตามอังกฤษ แม้มีหลายชาติ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี และเนเธอร์แลนด์ เรียกทูตประจำกรุงเตหะรานเข้าหารือแล้วก็ตาม
วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ กล่าวหารัฐบาลอิหร่านหนุนหลังกลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนโดยมีนัยสำคัญ ให้ก่อเหตุรุกรานสถานทูตอังกฤษประจำกรุงเตหะราน เมื่อวันอังคาร (29 พ.ย.) ทว่า อังกฤษจะยังไม่ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน
ด้วยเสียงปลุกเร้าจาก ส.ส.เฮกลุกขึ้นแถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาอังกฤษวานนี้ ว่า เขาได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สถานทูตอิหร่านประจำกรุงลอนดอน เดินทางออกจากแผ่นดินเมืองผู้ดีภายใน 48 ชั่วโมง และให้ปิดสถานทูตอิหร่านในทันที
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่อังกฤษก็ได้รับการนำตัวออกจากสถานทูตอังกฤษประจำกรุงเตหะราน เพื่อความปลอดภัย และมีคำสั่งปิดสถานทูตดังกล่าวในอิหร่านแล้วเช่นกัน
หนังสือพิมพ์อังกฤษฉบับวันนี้ (1 ธ.ค.) ทุกสำนักล้วนให้การสนับสนุนการตัดสินใจของรัฐบาล
“เมื่อทูตอังกฤษไม่ได้รับความปลอดภัยในอิหร่าน ทูตอิหร่านก็ไม่ควรได้รับการต้อนรับที่นี่” บทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ไทม์ส ระบุ ส่วนอีกหนึ่งตัวอย่าง เช่น หนังสือพิมพ์เดลีเทเลกราฟที่เรียกร้องให้สหภาพยุโรป “ยืนเคียงข้างอังกฤษ บังคับใช้มาตรการลงโทษที่แข็งกร้าวต่อกรุงเตหะราน”
ทั้งนี้ การประท้วงเมื่อวันอังคารปะทุขึ้นหลังจากรัฐบาลอังกฤษ ร่วมกับสหรัฐฯ และแคนาดา ประกาศบทลงโทษอิหร่านรอบใหม่ โดยระงับการติดต่อทางธุรกิจกับองค์กรของอิหร่าน เช่น แบงก์ชาติ อันเป็นผลมาจากโครงการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ที่นานาชาติกล่าวหาว่า อิหร่านใช้เป็นฉากบังหน้าเพื่อลอบพัฒนาอาวุธ
กลุ่มผู้ประท้วงบุกเข้าสถานทูตอังกฤษ ฉีกธงยูเนียนแจ๊ก ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 เผาเอกสารราชการ และกักขังหน่วงเหนี่ยวนักการทูตอังกฤษ 6 คน ขณะที่ช่วงแรกๆ ดูเหมือนตำรวจอิหร่านไม่ได้ดำเนินมาตรการปกป้องสถานทูตอังกฤษเท่าที่ควร ก่อนมีการใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม เมื่อเหตุการณ์บานปลายไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม วิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ยืนยันกลางรัฐสภา ว่า อังกฤษไม่มีเจตนาทำลายความสัมพันธ์กับอิหร่าน “มาตรการนี้เป็นการลดความสัมพันธ์เป็นระดับต่ำสุด แต่ยังรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตไว้ต่อไป”