เอเอฟพี - กองทัพฟิลิปปินส์ เปิดฉากการโจมตีทางอากาศเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เพื่อตอบโต้กองกำลังติดอาวุธแตกแถวของแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร บนเกาะมินดาเนา ตอนใต้ของประเทศ วันนี้ (24) หลังจากกลุ่มกบฏลอบก่อเหตุร้ายจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย ภายในหนึ่งสัปดาห์ โฆษกกองทัพฟิลิปปินส์แถลง
เครื่องบินรบโอวี-10 สองลำทิ้งระเบิดถล่มหมู่บ้านอันห่างไกลในเมืองปาเยา (Payao) บนเกาะมินดาเนา ซึ่งกบฏโมโรกบดานอยู่ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว พันตรี ฮาโรล์ด กาบูนอค โฆษกกองทัพฟิลิปปินส์ แถลง
ทั้งนี้ กลุ่มโมโรเริ่มทำสงครามแบ่งแยกดินแดนบนเกาะมินดาเนา ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 ด้วยกองกำลังกว่า 12,000 คน โดยอ้างสิทธิความชอบธรรมเหนือดินแดนของบรรพบุรุษ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฟิลิปปินส์ชุดต่างๆ เริ่มเจรจากับแกนนำกบฏโมโรตั้งแต่ปี 2003 โดยทั้งสองฝ่ายได้ข้อตกลงวางอาวุธสงบศึก ทว่า มีกองกำลังที่ไม่ยอมเดินตามสันติวิธี และประกาศแยกตัวจากแกนนำที่ตั้งโต๊ะเจรจากับทางการ
สถานการณ์การสู้รบวันนี้ หลังเปิดฉากถล่มด้วยเครื่องบินรบรุ่นโบราณดังกล่าว กำลังทหารภาคพื้นดินก็ยิงเปิดทางด้วยปืนใหญ่ ก่อนที่หน่วยสนธิกำลังระหว่างทหาร-ตำรวจ ประมาณ 200 นาย จะยกพลเข้าพื้นที่เป้าหมาย การยิงปะทะส่งผลให้กลุ่มกบฏเสียชีวิต 6 คน ส่วนทหารเสียชีวิต 2 นาย อย่างไรก็ตาม ไม่มีรายงานการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือน ซึ่งอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยไปแล้วประมาณ 3,000 คน ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน
พันโท แรนดอล์ฟ กาบังบัง โฆษกกองทัพอีกนายหนึ่ง เปิดเผยว่า กลุ่มกบฏที่เป็นเป้าหมายการโจมตีทางอากาศ คือ แก๊งอาชญากรรมที่พัวพันกับคดีลักพาตัวและคดีอื่นๆ อีกมากมาย
เหตุที่กองทัพต้องระดมกำลังตอบโต้ครั้งใหญ่ เนื่องจากกบฏแตกแถวกลุ่มนี้ได้ก่อเหตุบ่อยครั้งจนมีผู้เสียชีวิตถึง 35 ราย ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ โดยวันพฤหัสบดี (20) ที่ผ่านมา มีทหารและตำรวจถูกลอบโจมตีเสียชีวิตรวม 8 นาย ก่อนหน้านั้น 2 วัน หน่วยคอมมานโดตากาล็อกถูกกลุ่มกบฏสังหารไป 19 นาย ล่าสุดวานนี้ (23) คนงานกรีดงาน 5 คน และทหารอีก 3 นาย ก็เพิ่งถูกลอบยิงเสียชีวิต
วันนี้ ประธานาธิบดีเบนิโญ อากีโน แห่งฟิลิปปินส์ แถลงข่าวปฏิเสธว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่ใช่การประกาศ “สงครามเต็มรูปแบบ” ปราบปรามกบฏโมโร พร้อมทั้งชี้แจงถึงวัตถุประสงค์ในการจับกุมคนร้ายผู้อยู่เบื้องหลังเหตุลอบสังหาร 35 ศพ
อนึ่ง การสู้รบระหว่างกบฏแนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโรกับทางการฟิลิปปินส์ดำเนินมายาวนานกว่า 30 ปี มีคนถูกสังเวยชีวิตไปแล้วมากกว่า 150,000 ราย และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางการพัฒนาดินแดนภาคใต้ที่อุดมไปด้วยสินแร่