เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - องค์การตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) ออกหมายจับ ซาอาดี กัดดาฟี บุตรชายผู้คลั่งไคล้ฟุตบอลของ พันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี อดีตผู้นำจอมเผด็จการแห่งลิเบีย วันนี้ (29) ในคดีอาชญากรรมที่เขาก่อ ระหว่างนั่งตำแหน่งประธานสมาพันธ์ฟุตบอลลิเบีย
คณะผู้ปกครองลิเบียชุดใหม่ได้ยื่นคำร้องให้มีการออกหมายจับ ซาอาดี “ฐานยักยอกทรัพย์สินของสมาพันธ์ฟุตบอลลิเบีย โดยใช้กำลังและอาวุธข่มขู่” ถ้อยแถลงของอินเตอร์โพล ระบุ “ในฐานะผู้บัญชาการหน่วยทหารที่มีส่วนร่วมในการปราบปรามประชาชน ซาอาดีถูกลงโทษห้ามเดินทางเข้าประเทศสมาชิกยูเอ็น รวมทั้งการอายัดทรัพย์ อีกกระทงหนึ่ง”
อินเตอร์โพล เสริมว่า หมายจับตัวซาอาดี คือ หมายแดงฉบับแรกที่ออกตามคำร้องของสภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติ (เอ็นทีซี) ส่วนหมายจับตัว มูอัมมาร์ กัดดาฟี และสมุนก่อนหน้านี้ เป็นคำร้องของศาลอาญาระหว่างประเทศ
ก่อนหน้านี้ มีผู้พบเห็นซาอาดีที่ไนเจอร์ และอินเตอร์โพลต้องการให้ทุกประเทศในภูมิภาคนี้ให้ความร่วมมือ “เพื่อนำตัวเขากลับมายังลิเบีย ซึ่งมีการออกหมายจับเขาที่นั่น”
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไนเจอร์แถลงวันที่ 16 กันยายน ว่า จะไม่ส่งตัวซาอาดีกลับลิเบีย แต่อาจส่งให้กับศาลยุติธรรมที่เห็นว่า มีความอิสระและเป็นสากล
ปัจจุบัน ซาอาดี กัดดาฟี มีอายุ 38 ปี เขาเป็นบุตรชายคนที่ 3 จากทั้งหมด 7 คนของพันเอกกัดดาฟี ซาอาดีเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพในกัลโช เซเรีย อา อิตาลี ก่อนตัดสินใจแขวนสตั๊ด เพื่อเข้ากองทัพลิเบีย
นอกจากนั้น เขาก็เป็นกัปตันทีมชาติ เป็นประธานสมาพันธ์ฟุตบอล และยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์บนโลกฟุตบอล ระหว่างลิเบีย-อิตาลี โดยซาอาดี กัดดาฟี เคยฝึกฟุตบอลกับยูเวนตุส และลาซิโอ ตอนอายุ 20 ปี ณ เวลานี้ เขายังถือหุ้นของสโมสรยูเวนตุสอยู่ 7% ผ่านทางบริษัทลิเบีย อาหรับ ฟอเรน อินเวสต์เมนต์ ซึ่งกำลังถูกอายัด
ในปี 2002 เขาเคยพยายามซื้อสโมสรลาซิโอ จากเครืออาณาจักรอาหาร “ชิริโอ” (Cirio)
ทั้งๆ ที่เชื่องช้า และไม่มีทักษะฟุตบอลดีเพียงพอ แต่เขาก็ถูกดึงตัวร่วมสโมสรเปรูจา เมื่อปี 2003 ด้วยเหตุผลทางการตลาด การประเดิมสนามของซาอาดี ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นพิเศษ ทว่า เขาก็ได้ลงสนามเพียงนัดเดียวตลอดทั้ง 2 ฤดูกาล (2003-2005) ซาอาดีถูกอัปเปหิออกจากทีม หลังจากถูกตรวจพบว่า ใช้สารกระตุ้น
ในอีก 2 ฤดูกาลต่อมา เขาอยู่กับสโมสรอูดิเนเซ และ ซามพ์โดเรีย ตามลำดับ แต่ก็ได้โอกาสลงสนามเพียงนัดเดียวเท่านั้น