เอเจนซี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ประกาศจะใช้สิทธิวีโตร่างกฎหมายใดๆ ก็ตามที่ว่าด้วยการตัดงบประมาณด้านสาธารณสุข หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติให้ขึ้นภาษีบริษัทและผู้ที่มีรายได้สูงเพื่อช่วยบรรเทาวิกฤตงบประมาณเสียก่อน
ผู้ช่วยประธานาธิบดีเปิดเผยว่า แผนที่โอบามาจะเสนอต่อคณะกรรมาธิการพิเศษแห่งสภาคองเกรส จะช่วยลดการขาดดุลงบประมาณได้กว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะ 10 ปี โดยรายได้กว่าครึ่งหนึ่งนั้นจะมาจากการขึ้นภาษีเงินได้
ด้วยแรงกดดันจากสมาชิกพรรคเดโมแครตที่ต้องการปกป้องโครงการสาธารณสุขและระบบประกันสุขภาพ เพื่อดึงคะแนนนิยมจากประชาชนก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า โอบามาจะเรียกร้องให้ชาวอเมริกันทุกคนต้องมีส่วนรับภาระควบคุมวิกฤตงบประมาณอย่างเท่าเทียมกัน
“ประธานาธิบดีจะวีโตร่างกฎหมายใดๆ ก็ตามที่ดึงเงินไปจากโครงการสาธารณสุขเพื่อผู้สูงอายุ แต่กลับไม่เรียกร้องให้ผู้ที่ร่ำรวยและบริษัทใหญ่ๆ ต้องจ่ายส่วนของพวกเขาอย่างยุติธรรมด้วย” เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลให้สัมภาษณ์
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า โครงการเมดิแคร์ (Mecicare) ซึ่งเป็นบริการสาธารสุขสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ และโครงการเมดิเคด (Medicaid) สำหรับคนยากจนนั้น คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องประสบภาวะขาดดุลงบประมาณในระยะยาว
คณะกรรมาธิการพิเศษซึ่งประกอบด้วยตัวแทนจากพรรคเดโมแครต 6 คน และรีพับลิกัน 6 คน จะต้องเสนอแผนลดงบประมาณลงให้ได้อย่างน้อย 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ นอกเหนือไปจากข้อตกลงลดงบรายจ่ายลง 917,000 ล้านดอลลาร์ในระยะ 10 ปี เพื่อขอเพิ่มเพดานก่อหนี้ให้กับรัฐบาลเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
โอบามาจะเสนอแผนขึ้นภาษีที่สวนกุหลาบภายในทำเนียบขาว ในเวลา 10.30 น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันนี้ (19) ซึ่งแผนดังกล่าวยังรวมถึง “ภาษีบัฟเฟตต์” ที่จะกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำสำหรับบุคคลที่มีรายได้เกิน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีขึ้นไป
แม้ภาษีดังกล่าวจะมีผลต่อประชากรเพียงส่วนน้อย แต่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยันว่า มันจะช่วยสร้างมาตรฐานความยุติธรรม และจะเพิ่มรายได้แก่รัฐบาลสหรัฐฯ อีกมากหากประกาศใช้เป็นกฎหมาย