xs
xsm
sm
md
lg

กบฏลิเบียโวใกล้ยึด 2 ที่มั่นสุดท้าย “กลุ่มสิทธิ” แฉ CIA เคยจับมือกัดดาฟี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักรบฝ่ายกบฏยิงปืนอาก้าขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉลองให้กับชัยชนะอันเด็ดขาดที่กำลังใกล้เข้ามา ระหว่างการลาดตระเวนห่างจากเมืองบานี วาลิด ประมาณ 30 กิโลเมตร
เอเอฟพี / เอเจนซี - ฝ่ายกบฏที่เวลานี้กลายเป็นรัฐบาลรักษาการของลิเบีย ระบุวันนี้(4)ว่า นักรบติดอาวุธของพวกเขาใกล้ที่จะยึดครองเมืองป้อมปราการสำคัญ 2 แห่ง ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นแหล่งกบดานของพันเอก มูอัมมาร์ กัดดาฟี ได้แล้ว หลังจากกองกำลังผู้ที่ยังจงรักภักดีต่ออดีตผู้นำลิเบีย ยังไม่มีทีท่าจะยอมจำนนตามเงื่อนไขที่ฝ่ายกบฏหยิบยื่นให้เพื่อแลกกับการไม่ให้เกิดการนองเลือด ด้านฮิวแมนไรต์วอตช์ องค์การเพื่อสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เปิดเผยว่าพบเอกสารจำนวนมากภายในห้องทำงานของอดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของกัดดาฟี ซึ่งบ่งชี้ว่า ในระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำนักข่าวกรองทั้งซีไอเอของสหรัฐฯ และเอ็มไอ 6 อังกฤษ เคยให้ความช่วยเหลือแก่ระบอบปกครองกัดดาฟี ในการตามจับตัวนักโทษทางการเมือง ตลอดจนมีการแลกเปลี่ยนข่าวกรองระหว่างกันด้วย

หลังจากสภาถ่ายโอนอำนาจแห่งชาติของลิเบีย (เอ็นทีซี) ซึ่งเป็นรัฐบาลรักษาการของฝ่ายปฏิวัติ ได้ยื่นคำขาดให้ทหารกัดดาฟีทิ้งอาวุธยอมจำนนเพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือด ขณะเดียวกันก็ยุติการยิงชั่วคราว พร้อมกับให้เวลาพวกเขาตัดสินใจนานเกือบหนึ่งสัปดาห์ มาถึงวันนี้ กองกำลังนักรบผู้ต่อต้านกัดดาฟีซึ่งเวลานี้โอบล้อมทั้งเมืองซีราเต บ้านเกิดของกัดดาฟี และสถานที่ซึ่งคาดกันว่าเป็นที่หลบซ่อนของกัดดาฟี นั่นคือ เมืองบานี วาลิด ไว้หมดแล้ว ก็ประกาศกร้าวว่า พวกเขากำลังจะบุกโจมตีเมืองสำคัญดังกล่าว

“พวกเรากำลังเตรียมการเคลื่อนพลบุกเข้าไปในเมืองบานี วาลิด และเราจะรบ” มะห์มูด อับเดล อาซิซ โฆษกท้องถิ่นจากสภาเอ็นทีซี ให้สัมภาษณ์เอเอฟพี ณ จุดตรวจซีซัน ห่างจากเมืองบานี วาลิด ไม่กี่สิบกิโลเมตร

“ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า พวกเราจะบุกตะลุยเข้าไป” เขากล่าว “แม้จะมีบางคนขอเวลามากกว่านี้ แต่พวกเราได้ให้เวลาพวกมันเพียงพอแล้ว” โฆษกคนเดิมกล่าว

“พวกเราหมดความอดทนแล้ว พวกมันไม่มีกำลัง ขณะที่กำลังใจของพวกเราสูงมาก วันนี้ตอนพระอาทิตย์ตก หรือไม่ก็พรุ่งนี้เช้า พวกเราจะบุกเข้าไปเปิดประตูบานี วาลิด พวกเราจะโจมตี”

โฆษกอับเดล อาซิซ ระบุด้วยว่า เขาหวังว่าบานี วาลิด จะตกอยู่ในความครอบครองของพวกเขาภายในไม่กี่ชั่วโมง

นักข่าวภาคสนามรายงานว่า พบเห็นรถยนต์หลายสิบคัน ซึ่งในนั้นมีรถกระบะติดตั้งปืนกลหนักรวมอยู่ด้วย กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใต้สู่เมืองบานี วาลิด ขณะที่ออสซามะห์ กอซี ผู้บัญชาการก็ออกเดินทางไปด้วยตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ (3)

นอกเหนือจากสถานการณ์การสู้รบในลิเบียแล้ว ในอีกด้านหนึ่งก็ปรากฏว่า มีการแฉข้อมูลเอกสารจำนวนหนึ่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ และอังกฤษ เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับรัฐบาลลิเบียมาก่อน โดยองค์การฮิวแมนไรต์ วอตช์ เปิดเผยว่า พบเอกสารหลายร้อยฉบับภายในห้องทำงานของมูสซา คูสซา อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองและรัฐมนตรีต่างประเทศของรัฐบาลกัดดาฟี เอกสารเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นจดหมายติดต่อกันระหว่างคูสซากับสำนักข่าวกรองซีไอเอของสหรัฐฯ และเอ็มไอ6 ของอังกฤษ

องค์การสิทธิมนุษยชนแห่งนี้เปิดเผยต่อไปว่า อับเดล ฮาคิม เบลฮัดจ์ ผู้บัญชาการการสู้รบในตริโปลีของสภาเอ็นทีซีคนปัจจุบัน ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เคยถูกซีไอเอจับกุมและส่งกลับไปยังลิเบียด้วย

“ท่ามกลางเอกสารต่างๆ ที่ค้นพบภายในห้องทำงานของมูสซานั้น มีโทรสารจากซีไอเอฉบับหนึ่ง ระบุลงวันที่เมื่อปี 2004 แจ้งต่อรัฐบาลลิเบียว่า พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่จะจับกุมเบลฮัดจ์และนำส่งคืนให้” ปีเตอร์ บูคเคียร์ต หนึ่งในเจ้าหน้าที่ฮิวแมนไรต์วอตช์ ที่เข้าไปค้นเอกสารในออฟฟิศของมูสซากล่าว

“ปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นจริง เขาถูกซีไอเอจับกุมในเอเชีย จากนั้นก็มีการนำส่งตัวเขาข้ามแดนไปยังลิเบียด้วยเที่ยวบินลับ ก่อนที่เขาจะถูกกองกำลังรักษาความมั่นคงของลิเบียไต่ส่วนและทรมานในเวลาต่อมา”

ทั้งนี้ เอกสารบันทึกฉบับหนึ่งซึ่งซีไอเอ ส่งถึงรัฐบาลลิเบีย ระบุว่า เบลฮัดจ์ถูกจับในมาเลเซีย จากนั้นก็ถูกส่งไปยังเรือนจำลับในกรุงเทพฯ ที่ซึ่งเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ซ้อมทรมานเขา ก่อนที่จะนำตัวเขาส่งกลับคืนไปให้ลิเบีย

บูคเคียร์ต ยังให้นักข่าวรอยเตอร์ชมภาพถ่ายเอกสารต่างๆ จากในคอมพิวเตอร์ของเขา ซึ่งในนั้นมีรูปถ่ายจดหมายหลายฉบับที่บูคเคียร์ตระบุว่า ส่งจากสตีเฟน แคปส์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของซีไอเอ จ่าหน้าถึง “เพื่อนรัก คูสซา” โดยมีการเซ็นชื่อกำกับไว้ข้างใต้ด้วยว่า “สตีฟ” นอกจากนี้บูคเคียร์ตยังแสดงภาพถ่ายต่างๆ ที่เขาอ้างว่าเป็น จดหมายจากหน่วยสืบราชการลับเอ็มไอ6 ซึ่งส่งข่าวกรองไปยังลิเบียเกี่ยวกับข้อมูลของพวกต่อต้านรัฐบาลชาวลิเบียในอังกฤษ

ทั้งนี้ องค์กรสืบราชการลับของประเทศตะวันตกเริ่มติดต่อร่วมมือกับรัฐบาลลิเบีย ภายหลังจากกัดดาฟียกเลิกโครงการพัฒนาอาวุธร้ายแรงในปี 2004 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่าจากเอกสารต่างๆ ที่ถูกค้นพบเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความร่วมมือระหว่างกัดดาฟีกับซีไอเอและเอ็มไอ6 มีขอบเขตกว้างขวางกว่าที่คิดไว้ในตอนแรก
กำลังโหลดความคิดเห็น