เอเอฟพี - ชาวอิสราเอลมากกว่า 400,000 คน หลั่งไหลกันออกสู่ท้องถนนทั่วรัฐยิวมืดฟ้ามัวดิน เมื่อคืนวันเสาร์ (3) ที่ผ่านมา เพื่อชุมนุมร้องหา “ความเป็นธรรมทางสังคม” จากประเด็นค่าครองชีพที่สูงลิบ หลังจากกลุ่มแกนนำประกาศชุมนุมภายใต้สโลแกน “เดินขบวนหนึ่งล้านคน” ตอกย้ำการเคลื่อนไหวที่ระบาดไปทั่วประเทศมานานกว่า 6 สัปดาห์
จำนวนผู้ประท้วงครั้งนี้ได้ทำลายสถิติการชุมนุมของชาวอิสราเอลด้วยประเด็นทางสังคมในอดีตที่ผ่านมาลงทั้งหมด โดยสื่อมวลชนประเมินว่ามีประชาชนมากกว่า 400,000 คน ร่วมขบวนประท้วงในเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ไม่นานหลังผ่านพ้นวันสะบาโตของชาวยิวในช่วงเย็นวันเสาร์
ภายในกรุงเทลอาวีฟ คลื่นมวลชนที่มีทั้งเยาวชนและนักเคลื่อนไหวทางสังคม ป่าวร้องคำครหาต่อตัวนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ซึ่งถูกชนชั้นรากหญ้ายิวประณามว่า ขาดความจริงใจต่อการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการเห็นการปฏิรูปเศรษฐกิจ
“ดินแดนแห่งน้ำนมและน้ำผึ้ง แต่ไม่ใช่ของทุกคน” ป้ายข้อความบรรยายข้อความเสียดสีรัฐบาล โดยอ้างถึงแดนแห่งพันธสัญญาอันอุดมสมบูรณ์ในพระคัมภีร์ไบเบิล ขณะเดียวกัน ผู้ประท้วงอีกส่วนก็โบกธงชาติ และตะโกนต่อต้านบริษัทซูเปอร์มาร์เกตยักษ์ใหญ่ของประเทศ ประณามกรณีราคาค่าครองชีพที่ไม่เป็นธรรม
ผู้ประท้วงทั้งหลายต่างเห็นตรงกันว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของอิสราเอล
“พอลูกสาวผมโตขึ้น เธอจะภูมิใจว่าเคยมีส่วนร่วมกับการประท้วงทางสัมคมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อิสราเอล” กาลี เซอิตุน กล่าวกับสื่อมวลชน เขาเป็นครูสอนหนังสืออยู่ในกรุงเทลอาวีฟ ซึ่งจูงมือลูกสาววัยเพียง 4 ปีมาร่วมขบวนประท้วง
ชาวอิสราเอลเริ่มประท้วงเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม เมื่อกลุ่มเยาวชนที่โกรธแค้นรัฐตัดสินใจตั้งเต็นท์กลางกรุงเทลอาวีฟ เมืองหลวงอิสราเอล เพื่อประกาศให้รู้ว่าพวกเขาหมดปัญญาซื้อบ้านที่ราคาแสนแพง
การเคลื่อนไหวครั้งนั้นได้รับแรงหนุนจากภาคสังคมทั่วประเทศ ทว่าในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่เกิดเหตุกลุ่มหัวรุนแรงในฉนวนกาซาสังหารชาวยิวไป 9 ราย ดูเหมือนพลังมวลชนที่เข้าร่วมชุมนุมเริ่มร่อยหรอ ด้วยเหตุนี้แกนนำจึงประกาศก่อนการชุมนุมวานนี้ (3) ว่าจะแสดงให้รัฐบาลเห็นถึงพลังอันเข้มแข็งของประชาชน และเพิ่มแรงกดดันต่อตัวนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ซึ่งยังไม่แสดงถึงมาตรการที่เป็นรูปธรรม เพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชน
ทั้งนี้ รัฐบาลเนทันยาฮูประกาศคำมั่นจะรับฟังเสียงจากประชาชนอย่างจริงจัง และได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาข้อเรียกร้องต่างๆ แต่ผู้ประท้วงปรามาสวิธีการของรัฐบาลว่าเป็นการ “ซื้อเวลา” โดยเพ่งเล็งไปที่เจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรีซึ่งยืนกรานปฏิเสธการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ต้องใช้จ่ายเงินเกินกว่างบประมาณก้อนปัจจุบัน
