เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ประกาศวันนี้ (20) ว่าการสานเสวนาระดับชาติจะนำพาประเทศไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการสิ้นสุดสมัยปกครองของพรรครัฐบาล แต่ปฏิเสธปฏิรูปการเมืองท่ามกลาง “เหตุความไม่สงบ”
หลังจากนานาชาติรุมประณามการใช้ความรุนแรงปราบปรามผู้ชุมนุม ซีเรียได้เดินมาถึง “จุดเปลี่ยน” ประธานาธิบดีอัสซาดแถลงผ่านทางโทรทัศน์จากมหาวิทยาลัยดามัสกัส เขาประกาศว่าการสานเสวนาที่กำลังเดินหน้าจะนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการเลือกตั้ง รวมทั้งการสิ้นสุดสมัยปกครองของพรรคบาธของเขา
“เราบอกได้ว่าการสานเสวนาระดับชาติเป็นขั้นตอนต่อไป” ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด กล่าว “การสานเสวนาจะนำไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญ หรือการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
อัสซาดได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของ “ผู้พลีชีพ” ในเหตุความไม่สงบ พร้อมทั้งย้ำว่าซีเรีย “ไม่อาจมีพัฒนาการ หากยังไร้ความมั่นคง ไม่อาจมีการปฏิรูป หากยังมีการก่อวินาศกรรมหรือความไม่สงบ”
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลตอบโต้คำแถลงนี้ว่าไม่ได้แสดงถึงขั้นตอนที่เป็นรูปธรรม เช่น การถอนกำลังทหารออกจากศูนย์กลางการชุมนุม
นอกจากนี้ สหภาพยุโรปกำลังเตรียมขยายบทลงโทษรัฐบาลซีเรีย หลังจากคณะรัมนตรีต่างประเทศยุโรปรับร่างมติดังกล่าวในวันนี้ โดยการเพิ่มรายชื่อบริษัทและบุคคลอีกจำนวนหนึ่งลงในบัญชีดำ ซึ่งอัสซาดและคนใกล้ชิดอยู่ในรายนามที่ถูกอายัดทรัพย์ และห้ามเดินทางแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ผู้นำซีเรียได้ประกาศแทรกแซงทางการเมืองมาแล้ว 2 ครั้งก่อนหน้านี้
ครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2 สัปดาห์หลังการประท้วงเริ่มขึ้น อัสซาดได้แต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และนิยามการชุมนุมว่า “การสมคบคิด” ที่ศัตรูซีเรียคอยปลุกระดม ส่วนครั้งที่สองเมื่อวันที่ 16 เมษายน ประธานาธิบดีอัสซาดแถลงผ่านโทรทัศน์ว่า อาจยกเลิกกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินที่ประกาศใช้มาเกือบ 50 ปี พร้อมทั้งเรียกร้องการสานเสวนาระดับชาติ
รัฐบาลชาติตะวันตกกำลังพิจารณาร่างมติผ่านสภาความมั่นคงยูเอ็น เพื่อกดดันให้ซีเรียเอาจริงเอาจังกับการปฏิรูปการเมือง ทว่าประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซียให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์วันนี้ว่ารัสเซียจะใช้สิทธิ์วีโตมติดังกล่าว ด้วยเกรงว่าจะถูกใช้เป็นข้ออ้างรุกรานซีเรียเหมือนที่ลิเบียกำลังเผชิญ
ทั้งนี้ กลุ่มสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียระบุว่าความรุนแรงที่เริ่มมาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมส่งผลให้พลเรือนเสียชีวิต 1,310 ราย ฝ่ายเจ้าหน้าที่ความมั่นคงพลีชีพไปแล้ว 341 นาย