xs
xsm
sm
md
lg

เผยสหรัฐฯ ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์มากกว่ารัสเซีย 30%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีดมิตรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย ลงนามในสนธิสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ (Strategic Arms Reduction Treaty) ณ กรุงปราก วันที่ 8 เมษายน 2010 ทั้งนี้ รัสเซียสามารถลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองได้ตามเพดานที่กำหนดไว้แล้ว ส่วนสหรัฐฯ ยังทำไม่ได้ ข้อมูลจากกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยวานนี้ (1)
เอเอฟพี/เอเจนซี - สหรัฐฯ มีขีปนาวุธพิสัยไกลและหัวรบนิวเคลียร์ประจำการมากกว่ารัสเซีย อดีตศัตรูสมัยสงครามเย็น 30 เปอร์เซนต์ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลใหม่วานนี้ (1)

สหรัฐฯ และรัสเซีย สองชาติมหาอำนาจมีข้อตกลงร่วมกันที่ต้องเปิดเผยข้อมูลคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ ตามสนธิสัญญาลดอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ (สตาร์ต) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2011

ข้อกำหนดของสนธิสัญญาระบุว่า ห้ามทั้งสองชาติประจำการขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) ขีปนาวุธยิงจากเรือดำน้ำ (SLBMs) และเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักเกินจำนวน 700 ลูก ทว่ากองทัพพญาอินทรียังคงมีประจำการอยู่ 882 ลูก ส่วนรัสเซียลดเหลือเพียง 521 ลูก

สนธิสัญญากำหนดให้แต่ละฝ่ายมีหัวรบนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ประจำการได้ไม่เกิน 1,550 หัว ข้อมูลกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า รัสเซียมี 1,537 หัว ซึ่งต่ำกว่าข้อกำหนด แต่สหรัฐฯ ยังคงประจำการหัวรบนิวเคลียร์อยู่ 1,800 หัว

นอกจากนี้ สนธิสัญญาสตาร์ตฉบับใหม่นี้ยังบัญญัติให้สหรัฐฯ-รัสเซียมีฐานปล่อยขีปนาวุธภาคพื้นดิน เครื่องยิงขีปนาวุธจากเรือดำน้ำ และเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักไม่ว่าจะประจำการหรือไม่ก็ตามไม่เกิน 800 หน่วย ซึ่งสหรัฐฯ มี 1,124 หน่วย ส่วนรัสเซียมี 865 หน่วย

ทั้งนี้ กองทัพสหรัฐฯ จำเป็นต้องลดจำนวนอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองตามข้อตกลงในสนธิสัญญา
กำลังโหลดความคิดเห็น