เอเอฟพี - ผู้เห็นเหตุการณ์ และนักข่าวเผยได้ยินเสียงปืนดังสนั่นใจกลางกรุงตริโปลี เมืองหลวงของลิเบีย และพื้นที่ใกล้เคียงในเช้าวันนี้ (21) ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดเหตุจลาจลจากการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดี มูอัมมาร์ กัดดาฟี
เสียงยิงปืนดังสนั่นรุนแรงขึ้นหลังจากซาอิฟ อัลอิสลาม กัดดาฟี ลูกชายของผู้นำลิเบียออกแถลงผ่านทางโทรทัศน์ เตือนว่าประเทศกำลังใกล้เข้าสู่ภาวะสงครามกลางเมือง และเสี่ยงเกิดเหตุนองเลือด พร้อมกับระบุว่าเหตุจลาจลจะถูกปราบปรามอย่างไร้ความปรานี
ความสับสนอลหม่านในเมืองหลวงยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเสียงยิงปืนดังขึ้นปะปนกับเสียงร้องคร่ำครวญของบรรดาผู้หญิง และเสียงบีบแตรโดยผู้ขับขี่ยานยนต์ ซึ่งผู้เห็นเหตุการณ์ในเขตอัลอันดาลัส และเขตมิซราน ซึ่งเป็นย่านใจกลางกรุงตริโปลี ต่างก็ได้ยินเสียงปืนเช่นกัน
นอกจากนี้ ชาวเมืองในเขตเกอร์กียังเล่าว่า เจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงยิงแก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุมไปทั่วทุกแห่ง รวมถึงบ้านเรือนประชาชน ขณะที่ได้ยินเสียงผู้ประท้วงตะโกนขับไล่รัฐบาล และขว้างปาก้อนหินใส่รูปของประธานาธิบดีกัดดาฟี
ก่อนหน้าเสียงปืนแตก ลูกชายของผู้นำลิเบียประณามชาวอาหรับ และแอฟริกันที่อยู่ในประเทศว่าเป็นฝ่ายปลุกระดมให้เกิดเหตุไม่สงบ เพื่อหวังจะสถาปนาการปกครองแบบอิสลาม
เขาระบุว่า ในขณะนี้มีรถถังที่ขับเคลื่อนโดยพลเมืองในเบนกาซี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของลิเบีย และเป็นศูนย์กลางการชุมนุมประท้วงขับไล่ผู้นำเผด็จการที่ครองอำนาจมาเกือบ 42 ปี อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อัลอิสลาม กัดดาฟี ซึ่งพูดด้วยภาษาอาหรับ ได้ให้คำมั่นว่า รัฐสภาลิเบียจะประชุมกันในวันนี้ เพื่อหารือวาระการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ และกฎหมายเสรีนิยมฉบับใหม่
นอกจากนี้ เขายังตำหนิสื่อต่างชาติว่ารายงานยอดผู้เสียชีวิตจากการประท้วงสูงเกินจริง ซึ่งเขาย้ำว่าตัวเลขคือ 84 ราย ขณะที่ฮิวแมนไรต์วอตช์ระบุว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากการประท้วง ที่เริ่มปะทุมาตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์นั้นมีไม่ต่ำกว่า 173 ราย
“เรามีอาวุธ กองทัพมีอาวุธ และกองกำลังซึ่งต้องการทำลายลิเบียก็มีอาวุธ เราไม่ใช่อียิปต์ ที่นี่ไม่ใช่ตูนิเซีย เราไม่มีพรรคการเมืองในลิเบีย เราจะจับอาวุธ เราต่อสู้จนกระสุนลูกสุดท้าย”
“หากทุกฝ่ายมีอาวุธ มันจะเป็นสงครามกลางเมือง เราจะฆ่ากันและกันเอง” เขากล่าว