เอเอฟพี / เอเจนซี - คณะปกครองทหารของอียิปต์ ให้คำมั่นว่าจะถ่ายโอนอำนาจบริหารประเทศไปสู่มือของผู้นำพลเรือนคนใหม่ตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ภายหลังประธานาธิบดี ฮอสนี มูบารัค ก้าวลงจากตำแหน่งเมื่อวันศุกร์ (11) ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายทหารยังเผชิญกับแรงกดดันระลอกใหม่จากกลุ่มผู้ประท้วงที่ต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศทันที ขณะที่เทรนด์การขับไล่ผู้นำระบอบอำนาจเบ็ดเสร็จในโลกอาหรับกำลังขยายลุกลามในแอลจีเรีย และเยเมน
สถานการณ์ในอียิปต์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติเป็นลำดับๆ โดยที่ประชาชนกลับเข้าทำงานและร้านค้าจำนวนหนึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการในวันอาทิตย์ (13) หลังจากเผชิญกับภาวะมืดหม่นจนเศรษฐกิจแทบจะหยุดชะงักลงนับตั้งแต่ที่การประท้วงขับไล่มูบารัค ดำเนินยืดเยื้อมานาน 18 วัน ขณะเดียวกัน กองทัพก็พยายามเร่งฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยให้ได้โดยเร็ว โดยการกระชับพื้นที่รอบจัตุรัสตอห์รีร์ให้หดแคบลง เพื่อให้การจราจรรอบๆ จัตุรัสดังกล่าวสามารถสัญจรได้เป็นปกติ นอกจากนี้ ทางกองทัพยังได้คงรถถังและทหารจำนวนหนึ่งไว้เฝ้าอารักขาตึกอาคารสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่างๆ รวมถึงการบูรณะฟื้นฟูสถานีตำรวจหลายแห่งที่ถูกเผาจนวอดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แกนนำการประท้วงซึ่งกำลังฮึกเหิมได้ใจ ข่มขู่ว่า พวกเขาจะจัดการเดินขบวนต่ออีก หากฝ่ายทหารซึ่งเวลานี้เข้ามาดูแลการถ่ายโอนตำแหน่งประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้กระบวนการประชาธิปไตย ประสบความล้มเหลวในการทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของพวกเขา โดยที่ผู้ประท้วงจำนวนหลายร้อยคนยังคงปักหลักกางเต็นท์อยู่กลางจัตุรัสตอห์รีร์ไม่ไปไหน ถึงแม้ว่าประชาชนอียิปต์ส่วนใหญ่จะใช้ช่วงเวลาแห่งความอิ่มเอิบกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สามารถล้มล้างระบอบปกครองของมูบารัค อันยาวนานกว่า 3 ทศวรรษลงได้สำเร็จ ในการเฉลิมฉลองตามท้องถนนสายต่างๆ ในกรุงไคโรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนถึงรุ่งเช้าวันนี้ (13)
“กองทัพเป็นเสมือนกระดูกสันหลังของอียิปต์ เพราะฉะนั้นแล้ว การแก้ปัญหาของพวกเขาก็จะต้องไม่ใช่การกำจัดพวกเราให้พ้นไปจากจัตุรัสแห่งนี้ หากแต่ต้องทำตามข้อเรียกร้องของพวกเราต่างหาก” หนึ่งในผู้ประท้วงตะโกนผ่านเครื่องกระจายเสียงขณะที่ทหารกำลังบีบพื้นที่เข้ามา
“หากทหารไม่ทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของเรา พวกเราก็จะตอบโต้ด้วยการลุกฮือจลาจลและมาตรการต่างๆ ที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก” ซาฟวัต เฮกาซี หนึ่งในแกนนำประกาศ กลุ่มแกนนำยังต้องการให้มีการยุบสภาทันทีและยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินที่บังคับใช้มายาวนานตลอดยุคของมูบารัค
ทั้งนี้ กองทัพอียิปต์ยังไม่ได้ออกมาประกาศถึงกรอบระยะเวลาในการถ่ายโอนอำนาจสู่ประธานาธิบดีคนใหม่ เพียงทว่ารับปากแค่จะเปลี่ยนถ่ายอำนาจบริหารประเทศไปสู่มือของพลเรือนและปูทางระบอบประชาธิปไตย พร้อมกับระบุว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงอยู่ในอำนาจจนกว่าจะถึงการเลือกตั้ง เพื่อที่ว่ากระบวนการถ่ายโอนอำนาจจะได้เป็นไปอย่างละมุนละม่อม โดยที่ในช่วงเย็นวันนี้ (13) ตามเวลาท้องถิ่น คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะมีการประชุมกันนัดแรกนับตั้งแต่ที่มูบารัคลาออก
ทางด้าน ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์หารือเกี่ยวกับสถานการณ์อียิปต์กับผู้นำอังกฤษ, ซาอุดีอาระเบีย, ตุรกี และ จอร์แดน ซึ่งโอบามาก็ได้กล่าวชื่นชมกองทัพอียิปต์ที่ประกาศจุดยืนว่าจะ สนับสนุนการถ่ายโอนอำนาจแบบสันติวิธีและตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ในอียิปต์จะสงบลงด้วยดี ทว่าที่แอลจิเรีย อีกหนึ่งรัฐอาหรับซึ่งประสบภาวะโดมิโนจากกรณีการปฏิวัติล้มล้างผู้นำเผด็จการในตูนิเซียไปก่อนหน้านี้ ก็มีอันต้องเผชิญกับภาวะอาฟเตอร์ช็อกจากกรณีความสำเร็จในการขับไล่มูบารัคในอียิปต์อีกระลอก เมื่อประชาชน 2,000 คน พร้อมด้วยตำรวจแตกแถวหลายร้อยคนได้ออกมาชุมนุม ณ จัตุรัสแอลเจอร์ เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีอับเบลาจิส บูเตฟลิกา ลาออกจากตำแหน่ง
รายงานระบุว่า กลุ่มแกนนำการประท้วงครั้งนี้ประกอบด้วย ผู้นำฝ่ายค้านกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อวัฒนธรรมและประชาธิปไตย (อาร์ซีดี) และ อาลี เบลฮัดจิ อดีตผู้นำกลุ่มอิสลามมิสต์ ซัลเวชั่น ฟรอนต์ ซึ่งถูกทางการประกาศเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ตำรวจแตกแถวบางคนซึ่งเข้าร่วมประท้วงครั้งนี้ยังถืออาวุธหนัก นอกเหนือจากไม้กระบองและโล่ พร้อมกับโบกป้ายรณรงค์ซึ่งมีข้อความว่า “ระบอบ ออกไป” และตะโกนสโลแกนที่ยืมมาจากกลุ่มผู้ประท้วงในกรุงตูนิสและไคโร ขณะที่ทางการแอลจีเรียได้วางกำลังตำรวจหลายหมื่นคนเพื่อสกัดกลุ่มผู้ประท้วงไม่ให้ทำตามแผนการที่วางไว้ว่าจะเดินขบวนจาก “จัตุรัส 1 พฤษภาคม” ไปยัง “จัตุรัสมอระตีร์ส” รวมระยะทาง 4 กิโลเมตร
นอกเหนือจากที่แอลจีเรียแล้ว ในวันเสาร์ (12) ก็ได้เกิดเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเละห์ของเยเมนกับกลุ่มผู้สนับสนุนอีกด้วย แม้ว่าตัวประธานาธิบดีจะออกมาดักกระแสเดือดดาลของประชาชนก่อนหน้านี้ด้วยเกรงว่าจะลุกลามซ้ำรอยเหตุการณ์ในตูนิเซียและอียิปต์ โดยการประกาศว่าเขาจะก้าวลงจากอำนาจหลังหมดวาระในปี 2013 และจะไม่ลงสมัครต่ออีก
สถานการณ์ในอียิปต์เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติเป็นลำดับๆ โดยที่ประชาชนกลับเข้าทำงานและร้านค้าจำนวนหนึ่งมีกำหนดจะเปิดดำเนินการในวันอาทิตย์ (13) หลังจากเผชิญกับภาวะมืดหม่นจนเศรษฐกิจแทบจะหยุดชะงักลงนับตั้งแต่ที่การประท้วงขับไล่มูบารัค ดำเนินยืดเยื้อมานาน 18 วัน ขณะเดียวกัน กองทัพก็พยายามเร่งฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยให้ได้โดยเร็ว โดยการกระชับพื้นที่รอบจัตุรัสตอห์รีร์ให้หดแคบลง เพื่อให้การจราจรรอบๆ จัตุรัสดังกล่าวสามารถสัญจรได้เป็นปกติ นอกจากนี้ ทางกองทัพยังได้คงรถถังและทหารจำนวนหนึ่งไว้เฝ้าอารักขาตึกอาคารสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ต่างๆ รวมถึงการบูรณะฟื้นฟูสถานีตำรวจหลายแห่งที่ถูกเผาจนวอดอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แกนนำการประท้วงซึ่งกำลังฮึกเหิมได้ใจ ข่มขู่ว่า พวกเขาจะจัดการเดินขบวนต่ออีก หากฝ่ายทหารซึ่งเวลานี้เข้ามาดูแลการถ่ายโอนตำแหน่งประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ภายใต้กระบวนการประชาธิปไตย ประสบความล้มเหลวในการทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของพวกเขา โดยที่ผู้ประท้วงจำนวนหลายร้อยคนยังคงปักหลักกางเต็นท์อยู่กลางจัตุรัสตอห์รีร์ไม่ไปไหน ถึงแม้ว่าประชาชนอียิปต์ส่วนใหญ่จะใช้ช่วงเวลาแห่งความอิ่มเอิบกับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สามารถล้มล้างระบอบปกครองของมูบารัค อันยาวนานกว่า 3 ทศวรรษลงได้สำเร็จ ในการเฉลิมฉลองตามท้องถนนสายต่างๆ ในกรุงไคโรอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยจนถึงรุ่งเช้าวันนี้ (13)
“กองทัพเป็นเสมือนกระดูกสันหลังของอียิปต์ เพราะฉะนั้นแล้ว การแก้ปัญหาของพวกเขาก็จะต้องไม่ใช่การกำจัดพวกเราให้พ้นไปจากจัตุรัสแห่งนี้ หากแต่ต้องทำตามข้อเรียกร้องของพวกเราต่างหาก” หนึ่งในผู้ประท้วงตะโกนผ่านเครื่องกระจายเสียงขณะที่ทหารกำลังบีบพื้นที่เข้ามา
“หากทหารไม่ทำตามข้อเรียกร้องต่างๆ ของเรา พวกเราก็จะตอบโต้ด้วยการลุกฮือจลาจลและมาตรการต่างๆ ที่หนักหน่วงยิ่งขึ้นไปอีก” ซาฟวัต เฮกาซี หนึ่งในแกนนำประกาศ กลุ่มแกนนำยังต้องการให้มีการยุบสภาทันทีและยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินที่บังคับใช้มายาวนานตลอดยุคของมูบารัค
ทั้งนี้ กองทัพอียิปต์ยังไม่ได้ออกมาประกาศถึงกรอบระยะเวลาในการถ่ายโอนอำนาจสู่ประธานาธิบดีคนใหม่ เพียงทว่ารับปากแค่จะเปลี่ยนถ่ายอำนาจบริหารประเทศไปสู่มือของพลเรือนและปูทางระบอบประชาธิปไตย พร้อมกับระบุว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันยังคงอยู่ในอำนาจจนกว่าจะถึงการเลือกตั้ง เพื่อที่ว่ากระบวนการถ่ายโอนอำนาจจะได้เป็นไปอย่างละมุนละม่อม โดยที่ในช่วงเย็นวันนี้ (13) ตามเวลาท้องถิ่น คณะรัฐมนตรีชุดนี้จะมีการประชุมกันนัดแรกนับตั้งแต่ที่มูบารัคลาออก
ทางด้าน ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์หารือเกี่ยวกับสถานการณ์อียิปต์กับผู้นำอังกฤษ, ซาอุดีอาระเบีย, ตุรกี และ จอร์แดน ซึ่งโอบามาก็ได้กล่าวชื่นชมกองทัพอียิปต์ที่ประกาศจุดยืนว่าจะ สนับสนุนการถ่ายโอนอำนาจแบบสันติวิธีและตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม แม้สถานการณ์ในอียิปต์จะสงบลงด้วยดี ทว่าที่แอลจิเรีย อีกหนึ่งรัฐอาหรับซึ่งประสบภาวะโดมิโนจากกรณีการปฏิวัติล้มล้างผู้นำเผด็จการในตูนิเซียไปก่อนหน้านี้ ก็มีอันต้องเผชิญกับภาวะอาฟเตอร์ช็อกจากกรณีความสำเร็จในการขับไล่มูบารัคในอียิปต์อีกระลอก เมื่อประชาชน 2,000 คน พร้อมด้วยตำรวจแตกแถวหลายร้อยคนได้ออกมาชุมนุม ณ จัตุรัสแอลเจอร์ เพื่อเรียกร้องให้ประธานาธิบดีอับเบลาจิส บูเตฟลิกา ลาออกจากตำแหน่ง
รายงานระบุว่า กลุ่มแกนนำการประท้วงครั้งนี้ประกอบด้วย ผู้นำฝ่ายค้านกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อวัฒนธรรมและประชาธิปไตย (อาร์ซีดี) และ อาลี เบลฮัดจิ อดีตผู้นำกลุ่มอิสลามมิสต์ ซัลเวชั่น ฟรอนต์ ซึ่งถูกทางการประกาศเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า ตำรวจแตกแถวบางคนซึ่งเข้าร่วมประท้วงครั้งนี้ยังถืออาวุธหนัก นอกเหนือจากไม้กระบองและโล่ พร้อมกับโบกป้ายรณรงค์ซึ่งมีข้อความว่า “ระบอบ ออกไป” และตะโกนสโลแกนที่ยืมมาจากกลุ่มผู้ประท้วงในกรุงตูนิสและไคโร ขณะที่ทางการแอลจีเรียได้วางกำลังตำรวจหลายหมื่นคนเพื่อสกัดกลุ่มผู้ประท้วงไม่ให้ทำตามแผนการที่วางไว้ว่าจะเดินขบวนจาก “จัตุรัส 1 พฤษภาคม” ไปยัง “จัตุรัสมอระตีร์ส” รวมระยะทาง 4 กิโลเมตร
นอกเหนือจากที่แอลจีเรียแล้ว ในวันเสาร์ (12) ก็ได้เกิดเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงขับไล่ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซาเละห์ของเยเมนกับกลุ่มผู้สนับสนุนอีกด้วย แม้ว่าตัวประธานาธิบดีจะออกมาดักกระแสเดือดดาลของประชาชนก่อนหน้านี้ด้วยเกรงว่าจะลุกลามซ้ำรอยเหตุการณ์ในตูนิเซียและอียิปต์ โดยการประกาศว่าเขาจะก้าวลงจากอำนาจหลังหมดวาระในปี 2013 และจะไม่ลงสมัครต่ออีก
