เอเชียนิวส์ / เอเอฟพี - จีนผุดโครงการผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการค้าสินค้าประเภทของใช้ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ต่อจากเมืองอี้อู ซึ่งถูกยกระดับเป็น “อี้อู อินเตอร์เนชั่นแนล เทรด ซิตี้” ไปก่อนหน้านี้ โดยการจะจัดตั้งเมือง “ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์” ในแดนสยาม ด้วยมูลค่าการก่อสร้างมหาศาลกว่า 40,000 ล้านบาท บนเนื้อที่ 700,000 ตารางเมตร ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์พีเพิล เดลี ของทางการจีน รายงานว่า การก่อสร้างจะเริ่มต้นในวันที่ 18 มกราคมนี้ และคาดว่า จะแล้วเสร็จภายในปี 2013
โครงการเนรมิตเมืองพาณิชย์นานาชาติในกรุงเทพฯ ซึ่งริเริ่มโดยจีนนั้น นับเป็นหนึ่งในความพยายามของพญามังกรที่จะผลักดันให้ไทยเป็นฐานการส่งออกสินค้าของตนไปยังประเทศที่ 3 โดยเฉพาะสินค้าหมวดของใช้ทั่วไป อาทิ เครื่องแต่งกาย, เครื่องประดับ และเครื่องใช้ในบ้านเรือน ซึ่งจีนมุ่งหวังจะเจาะเข้าไปในตลาดโลกให้ได้มากขึ้น เมื่อกำลังเผชิญกับแนวโน้มการกีดกันทางการค้าของประเทศต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
หนังสือพิมพ์พีเพิล เดลี ของทางการจีน รายงานว่า จีนจะลงทุนในเมกะโปรเจกต์ดังกล่าวด้วยเม็ดเงินสูงถึง 10,000 ล้านหยวน (ราว 41,900 ล้านบาท) และจะเริ่มต้นก่อสร้างในวันที่ 18 มกราคมนี้ โดยที่ “ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์” แห่งนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการขายส่งของโลกในแบบเดียวกับ “อี้อู อินเตอร์เนชั่นแนล เทรด ซิตี้” ในเมืองอี้อู มณฑลเจ้อเจียง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าสินค้าประเภทของใช้ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้
โครงการเมืองไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ ในกรุงเทพฯ จะครอบคลุมเนื้อที่ 700,000 ตารางเมตร และคาดว่า การก่อสร้างทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในปี 2013 ขณะที่ ต่ง หงฉี ประธานบริษัท อาชิมา คัลเจอรัล อินดัสตรี อินเวสต์เมนต์ ในมณฑลหยุนหนัน (ยูนนาน) ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของโครงการดังกล่าว ระบุว่า ศูนย์กลางพาณิชย์แห่งใหม่นี้จะสามารถดึงดูดพ่อค้าจากจีนได้มากกว่า 70,000 คนเลยทีเดียว
ด้าน หยาง ฟางซู นายกสมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและการค้าอาเซียน-จีน ระบุว่า “นอกเหนือจากโอกาสทางธุรกิจต่างๆ ในไทยแล้ว บรรดาผู้ส่งออกจีนยังจะสามารถผลักดันสินค้าของตนไปยังตลาดประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเช่น สหภาพยุโรป และสหรัฐฯ ได้อีกด้วย” พร้อมกับกล่าวเสริมว่า ผลจากกรอบข้อตกลงการจัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน ทำให้บรรดานักลงทุนชาวจีนรู้สึกพึงพอใจกับการค้าระดับทวิภาคกับไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประชาคมดังกล่าว โดยที่จะปลอดกำแพงภาษี หรือจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำมากๆ นอกจากนี้ ยังเปิดทางให้จีนสามารถอาศัยประเทศคู่ค้าเหล่านี้เป็นฐานในการส่งออกไปยังกลุ่มเศรษฐกิจพัฒนาแล้วด้วยอัตราภาษีที่ต่ำอีกด้วย
หยาง กล่าวว่า โควตาการค้าระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งรวมทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่สูงกว่าโควตาของจีนกับกลุ่มประเทศคู่ค้าข้างต้น ด้วยเหตุนี้สินค้าของจีนจึงควรอาศัยไทยเป็นฐานการส่งออกไปยังประเทศเหล่านั้นแทน เพื่อลดข้อจำกัดและกฎเกณฑ์ที่มากกว่า
ขณะที่ หวง รุ่ยเหนิง ผู้จัดการฝ่ายขายของเทียนเทียน จิวเวลรี ในเมืองอี้อู เผยว่า “อัตราภาษีที่ต่ำของสินค้าส่งออกไทยไปยังกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เป็นสิ่งที่ล่อตาล่อใจผมมาก สืบเนื่องจากการส่งออกของพวกเราได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากกำแพงภาษีสูงที่กำหนดโดยอียู และสหรัฐฯ ในปีนี้”
ทางด้าน อลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวไว้เมื่อวันพุธ (5) ในระหว่างเยือนเมืองอี้อู เพื่อเสาะหานักลงทุน ระบุว่า “ไชน่า ซิตี้ คอมเพล็กซ์ จะเป็นโครงการความร่วมมือที่ใหญ่ที่สุดระหว่างจีนกับไทย ซึ่งจะเป็นการย้ำชัดถึงความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ของหุ้นส่วนทางธุรกิจระหว่างสองประเทศ”
ทั้งนี้ ผลจากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างจีนกับ 10 ประเทศในประชาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เมื่อปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างกันพุ่งสูงถึง 161,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วง 7 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว