กองทุนสัตว์ป่าโลกชี้ ประชากรเสือในลุ่มน้ำโขงลดลงถึงขั้นวิกฤต

เอเอฟพี - กองทุนสัตว์ป่าโลก หรือ WWF ระบุ จำนวนประชากรเสือทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังถึงขั้นวิกฤตโดยลดลงมากกว่า 70% ในรอบ 12 ปี พร้อมเร่งรัฐบาลให้ดำเนินการอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันการสูญพันธุ์

ประชากรเสือที่อยู่ในป่าทั่วกัมพูชา ลาว พม่า ไทย และเวียดนามลดลงจากประมาณ 1,200 ตัวในปี 1998 เหลือเพียงราว 350 ตัวในทุกวันนี้ ตามตัวเลขรายงานของกลุ่มอนุรักษ์สัตว์ป่าสากล

รายงานดังกล่าวออกมาล่วงหน้าการประชุมเกี่ยวกับการอนุรักษ์เสือ เป็นเวลา 3 วัน ที่อำเภอหัวหิน ในวันพุธ (27) โดยรัฐมนตรีจากเอเชีย 13 ประเทศ

รายงานฉบับนี้ระบุว่า การลดลงของประชากรเสือในภูมิภาคนี้สะท้อนให้เห็นถึงจำนวนเสือทั่วโลก ซึ่งลดลงต่ำสุดเหลือเพียง 3,200 ตัว จากการประเมินในช่วงปี 1980 ที่มีกว่า 20,000 ตัว และเมื่อศตวรรษก่อน ที่มีถึง 100,000 ตัว

“ทุกวันนี้ จำนวนประชากรเสืออยู่ในจุดวิกฤต” WWF แถลง ก่อนจะถึงวันเริ่มต้นปีเสือในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ตามปฏิทินจันทรคติของจีน โดยอ้างว่า ความต้องการอวัยวะต่างๆ ของเสือเพื่อใช้ในการรักษาโรคของชาวจีน ที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อประชากรเสือในอินโดจีน

ขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศ อย่างการสร้างถนนซึ่งต้องตัดไม้ทำลายป่า ก็เป็นอีกมูลเหตุหนึ่ง ที่ทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของเสือด้วย

“การดำเนินการอย่างเด็ดขาดต้องทำเพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์สายพันธุ์ย่อยนี้จะไม่ถึงจุดที่ไม่มีวันเรียกกลับมาได้” นิก คอกซ์ ผู้ประสานงานโครงการเสือในลุ่มแม่น้ำโขงของกองทุนสัตว์ป่าโลกกล่าว

“มีความเป็นไปได้ว่าประชากรเสือในเวียดนาม ลาว และกัมพูชาจะสูญพันธุ์ภายในปีเสือครั้งหน้า หรือในปี 2022 หากเราไม่เร่งดำเนินการเพื่อปกป้องพวกมัน” เขาเสริม

แม้ว่าเสืออินโดจีนจะเคยพบมากมายในภูมิภาคแถบลุ่มแม่น้ำโขง แต่ WWF ชี้ว่า ขณะที่เหลือเสือในปต่ละประเทศเพียงไม่ถึง 30 ตัวเท่านั้น และจำนวนเสือที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่พบได้ในเขตภูเขาชายแดนไทย-พม่า โดยกองทุนสัตว์ป่าโลกได้เรียกให้รัฐมนตรี 13 ประเทศร่วมหารือกันในการเพิ่มจำนวนเสือเป็น 2 เท่าภายในปี 2022

สำหรับความพยายามระดับโลก ในการป้องกันไม่ให้เสือสูญพันธุ์ในอนาคตนั้น จะส่งผลให้เกิดการประชุมสุดยอดไทเกอร์ ซัมมิต ในเดือนกันยายน ที่วลาดิโวสตอก รัสเซีย โดยมีนายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูตินเป็นเจ้าภาพ