เอเจนซี/เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องเมื่อวันจันทร์ (18) ให้รัฐบาลสหรัฐฯ แคนาดา และบราซิลจับมือเป็นพันธมิตรกัน เพื่อแสดงบทบาทเป็นผู้นำประชาคมโลกในการให้ความช่วยเหลือเฮติที่กำลังเผชิญวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมร้ายแรงหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์เมื่อสัปดาห์ก่อน ซึ่งคาดว่า อาจมีผู้เสียชีวิตมากถึง 200,000 คน
ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่า ภารกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยและฟื้นฟูประเทศเฮตินับจากนี้ จำเป็นต้องมีประเทศที่เป็น “เจ้าภาพ” ในการประสานงานกับองค์การสหประชาชาติ รัฐบาลของนานาประเทศ และองค์กรบรรเทาทุกข์ต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือเฮติเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากนับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวที่กรุงปอร์โต แปรงซ์ และอีกหลายเมืองทางตะวันตกของเฮติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ความช่วยเหลือของนานาชาติยังมีความล่าช้าและดำเนินไปแบบ “ต่างคนต่างทำ”
ขณะโฆษกรัฐบาลบราซิลเปิดเผยที่กรุงบราซิเลียว่า ประธานาธิบดี ลุยช์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา ผู้นำบราซิล ได้เห็นชอบกับแนวคิดของประธานาธิบดีโอบามาในการหาประเทศผู้รับผิดชอบหลัก เพื่อดูแลการประสานงานการให้ความช่วยเหลือเฮติเช่นกันโดยเฉพาะการเข้าไปช่วยสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของกองกำลังรักษาสันติภาพยูเอ็นในเฮติ รวมถึง ภารกิจในการขนส่งลำเลียงอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งของบรรเทาทุกข์ต่างๆไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัย โดยคาดว่าความชัดเจนในเรื่องนี้จะมีมากขึ้นหลังการหารือร่วมกันอีกครั้งของผู้นำทั้ง 3 ประเทศในเร็วๆนี้
** มะกันเปิดไฟเขียวรับเด็กกำพร้าเฮติเข้าประเทศ
การออกมาเรียกร้องของผู้นำสหรัฐฯ ให้มีการจับมือของทั้ง 3 ประเทศยักษ์ใหญ่แห่งทวีปอเมริกามีขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เจเน็ต นาโปลิตาโนรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯออกมาแถลงที่กรุงวอชิงตันว่า ทางการสหรัฐฯ จะอนุญาตให้บรรดาเด็กกำพร้าชาวเฮติที่สูญเสียพ่อแม่และผู้ปกครองจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งนี้ ได้มีโอกาสเดินทางเข้ามาเริ่มต้นชีวิตใหม่บนแผ่นดินสหรัฐฯได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย
อย่างไรก็ตาม นาโปลิตาโน วัย 52 ปี กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวของสหรัฐฯ ไม่ได้หมายความว่า เด็กกำพร้าทุกรายในเฮติจะได้รับสิทธิเดินทางมายังสหรัฐฯ ทั้งหมด แต่จะต้องมีการพิจารณาอย่างเข้มงวดเป็นรายกรณี โดยจะมีความร่วมมือระหว่างทางการสหรัฐฯกับรัฐบาลเฮติอย่างใกล้ชิด ในการตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติต่างๆ ของเด็กกำพร้าและพ่อแม่อุปถัมภ์ชาวอเมริกันแต่ละรายอย่างรอบคอบก่อน
** โฆษก UN ยัน เจ้าหน้าที่ตายแล้ว 46, สูญหายเกิน 500 ราย
มาร์ติน เนเซอร์กี โฆษกองค์การสหประชาชาติแถลงที่สำนักงานใหญ่ยูเอ็นในมหานครนิวยอร์ก เมื่อวันจันทร์ (18)โดยระบุว่า จนถึงขณะนี้สามารถยืนยันได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆในสังกัด เสียชีวิตจากภัยพิบัติในเฮติแล้วทั้งสิ้น 46 ราย ขณะที่จากการตรวจสอบล่าสุดพบว่า ยังมีเจ้าหน้าที่อีกมากกว่า 500 คนที่สูญหาย โดยไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ด้านโจเซ็ตต์ ชีแรน ผู้อำนวยการใหญ่โครงการอาหารโลกของสหประชาชาติได้ออกมาเรียกร้องที่กรุงโรม ของอิตาลีโดยย้ำว่าบรรดาผู้ประสบภัยชาวเฮติที่รอดชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยังขาดแคลนอาหารอยู่อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภท “พร้อมรับประทาน” ซึ่งคาดว่าอาจต้องใช้มากกว่า 100 ล้านชุดภายในระยะเวลา 30 วันนับจากนี้
** พบผู้รอดชีวิตใต้ซากดินไหวแล้ว 90 คน
เอลิซาเบ็ธ เบิร์ส โฆษกหญิงของสำนักงานความร่วมมือด้านกิจการมนุษยธรรมของสหประชาชาติแถลงที่กรุงปอร์โต แปรงซ์เมื่อวานนี้ (19)ว่าจนถึงขณะนี้มีทีมกู้ภัยจาก 43 ประเทศจำนวน 1,739 คนที่เดินทางเข้ามาปฏิบัติภารกิจกู้ภัยในเฮติ และสามารถช่วยเหลือผู้รอดชีวิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเฮติ ออกมาจากใต้ซากปรักหักพังต่างๆ ทั่วเมืองหลวงและพื้นที่โดยรอบได้ประมาณ 90 คนแล้ว โดยในจำนวนนี้ 39 คนได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยของสหรัฐฯ
** แพทย์ชี้ เฮติจะเผชิญภาวะคุกคามด้านสุขภาพขั้นรุนแรง
จอน แอนดรัส จากองค์การอนามัยแพนอเมริกัน (Pan American Health Organization) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดขององค์การอนามัยโลกระบุว่า เฮติกำลังจะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามด้านสุขภาพครั้งมโหฬารซึ่งจะสร้างความสูญเสียที่รุนแรงไม่แพ้ความเสียหายจากแผ่นดินไหว 7.0ริกเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียนานาชนิด ซึ่งจะทำให้บรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเกิดการติดเชื้อตามบาดแผล รวมทั้ง จะเกิดการระบาดของบาดทะยัก ไข้หัด โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อหิวาตกโรค และโรคติดเชื้ออื่นๆ ที่อาจทำให้มีผู้เสียชีวิตหลังเกิดแผ่นดินไหวจำนวนมากเช่นกัน
** สถาปนิกนานาชาติชี้เฮติเสียหายหนักเพราะวัสดุก่อสร้างแย่
ปาทริก โกลอมเบล และเซร์เฮ กูโน ตัวแทนจากองค์กรการกุศลที่เรียกตัวเองว่า “มูลนิธิสถาปนิกฉุกเฉิน” หรือ (อีเอเอฟ) เปิดเผยข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่สำรวจอาคาร บ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในกรุงปอร์โต แปรงซ์ อย่างน้อย 30 แห่ง หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันอังคารที่แล้ว (12) พบว่า สาเหตุหลักที่ทำให้อาคารบ้านเรือนต่างๆพังทลายลงมาภายในระยะเวลาอันรวดเร็วเมื่อเกิดแผ่นดินไหวจนทำให้มีผู้ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพังจำนวนมากนั้นมาจากวัสดุก่อสร้างคุณภาพต่ำนานาชนิดที่ชาวเฮตินำมาใช้ในการก่อสร้าง เช่น เศษคอนกรีตและเหล็กราคาถูก
โดยโกลอมเบลเปิดเผยว่า ชาวเฮติส่วนใหญ่คำนึงถึงปัจจัยด้านงบประมาณในการก่อสร้าง มากกว่าความมั่นคงแข็งแรงของตัวอาคาร ทำให้มีการนำเอาคอนกรีต หรือซีเมนต์ที่ได้รับการผสมแบบเจือจาง และไม่ได้สัดส่วนมาใช้ในการก่อสร้างอย่างแพร่หลาย ไม่เว้นแม้แต่สถานที่ราชการ โรงแรม หรือห้างร้านในย่านธุรกิจของกรุงปอร์โต แปรงซ์ขณะที่จำนวนผู้ที่มีความชำนาญอย่างแท้จริงในการก่อสร้างในเฮติก็ยังมีจำนวนน้อยมาก พร้อมย้ำว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ในเฮติจะไม่มีผู้ชีวิตถึง 200,000 คนอย่างแน่นอนหากอาคารบ้านเรือนต่างๆได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามมาตรฐาน