เอเอฟพี - องค์การอนามัยโลกเผยเมื่อวันศุกร์(28) ยอดผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลกเป็น 2,185 คนแล้ว ขณะที่ประเทศเมืองร้อนบางประเทศมีรายงานถึงความตึงเครียดต่อระบบสาธาณสุขหลังพบผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางรายงานที่ระบุว่ามีผู้ป่วยจากเชื้อไวรัสเอช1เอ็น1แซงหน้าหวัดอื่นๆไปแล้ว
"หลายประเทศในแถบโซนร้อน--อ้างถึงทวีปอเมริกากลางและเอเชีย ยังคงพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆหรือมีการแพร่ระบาดในระดับสูงอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่าบางประเทศเกิดความวุ่นวายต่อระบบสาธารณสุข" แถลงการณ์ของอนามัยโลกระบุ
ประเทศส่วนใหญ่ในซีกโลกใต้ได้ผ่านจุดพีกสูงของการแพร่ระบาดไปแล้ว ส่วนประเทศในซีกโลกใต้การคลื่นไหวของไวรัสเอช1เอ็น1ค่อนข้างน่าประหลาดใจ
เว็บไซต์ขององค์การอนามัยโลกระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009ทั่วโลกถึง 2,185 ราย เพิ่มขึ้นจาก 1,799 รายเมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในทวีปอเมริกา 1,876 ราย
เอเชีย-แปซิฟิก รั้งอันดับ 2 ที่ 203 ราย ยุโรป ตามมาเป็นอันดับ 3 พบผู้เสียชีวิต 85 ราย ตะวันออกกลาง 10 ราย ส่วนแอฟริกามีทั้งสิ้น 11 คน ขณะที่แคเมอรูน มาดากัสการ์และโมซัมบิก ยืนยันพบผู้ติดเชื้อไวรัสเอช1เอ็น1รายแรกของแต่ละประเทศ
ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกระบุว่าจำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกอยู่ที่ 209,438 คน อย่างไรก็ตามพวกเขาบอกว่าตัวเลขดังกล่าวไม่ใช่จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริง เนื่องจากคนไข้บางรายมีอาการป่วยไม่นานเลยไม่ต้องเข้ารับการตรวจซึ่งกรณีนี้แต่ละประเทศอาจไม่ได้รายงานเข้ามา
องค์การอนามัยโลกในวันเดียวกัน ยังเปิดเผยอีกว่าไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 ได้แซงหน้าไวรัสอื่นๆ ก้าวขึ้นมาเป็นไข้หวัดที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุดในโลกไปแล้ว
"จากหลักฐานตามพื้นที่แพร่ระบาดหลายๆแห่ง แสดงให้เห็นว่าไวรัสเอช1เอ็น1 ได้แพร่ระบาดอย่างยั่งยืนและเวลานี้มีมากกว่าไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดอื่นๆในโลกนี้" แถลงการณ์ของอนามัยโลกระบุ "โรคระบาดนี้จะยังยืนหยัดในอีกหลายเดือนข้างหน้าขณะที่ไวรัสยังคงเคลื่อนผ่านประชาชนที่มีสุขภาพอ่อนแอ"
รายงานขององค์การอนามัยโลกระบุว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่2009 แสดงนัยหลายอย่างแตกต่างไข้หวัดตามฤดูกาล
โดยในหวัดตามฤดูกาลพบว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือเสียชีวิต เกิดขึ้นในบุคคลที่มีอายุมากกว่า 65 ปี ขณะที่เหยื่อที่เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เกือบทั้งหมดอายุต่ำกว่า 50 ปี