xs
xsm
sm
md
lg

“ฟิลิปปินส์”สูญเสีย “โกรี อากิโน”

เผยแพร่:   โดย: โดนัลด์ เคิร์ก

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

The Philippines loses a democratic heart
By Donald Kirk
03/08/2009

การจากไปของอดีตผู้นำฟิลิปปินส์ กอราซอน อากิโน ทำให้ผู้คนนับแสนๆ หวนระลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเข้าร่วม “การปฏิวัติพลังประชาชน” อันเอิบอาบด้วยอุดมคติของเธอเมื่อปี 1986 ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่จอมเผด็จการเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ความฝันของเธอที่ใครๆ ก็แทบจะลืมเลือนกันไปแล้ว กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยอารมณ์ทะลักทลายแห่งความรู้สึกรักใคร่อาลัยในตัวเธอของผู้คนมากมายในสังคม ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้วสังคมฟิลิปปินส์ก็ยังคงเป็นสังคมที่กำลังถูกแบ่งแยกออกห่างจากกันมากขึ้นทุกที ด้วยความแตกต่างทั้งทางด้านการศึกษา, รายได้, และชนชั้น

ความฝันความศรัทธาอันงดงามในเรื่องพลังประชาชน (People’s Power) ดูราวกับเปล่งประกายมหัศจรรย์ของมันออกมาอีกครั้งในหมู่ประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน ขณะที่พวกเขาเรียงรายกันอยู่สองข้างถนนเพื่อเฝ้าชมขบวนรถแห่ร่างของสตรีผู้สวมชุดเหลือง ซึ่งฐานะความเป็นวีรสตรีแห่งประชาธิปไตยยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้คนมากมายในสังคมฟิลิปปินส์ ถึงแม้สังคมนี้ได้ถูกแบ่งแยกออกห่างจากกันมากขึ้นทุกที จากความแตกต่างทั้งทางด้านการศึกษา, รายได้, และชนชั้น

ความโศกเศร้าอาลัยที่ไหลทะลักทลายออกมาเช่นนี้ กระตุ้นความทรงจำของผู้คนนับแสนๆ ที่ได้เคยเข้าร่วม “การปฏิวัติพลังประชาชน” ซึ่งขับดันให้ กอราซอน อากิโน ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดี ภายหลังโค่นล้มจอมเผด็จการไร้ธรรมะ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1986 ถึงแม้ตลอดช่วงเวลา 20 กว่าปีหลังจากนั้น การปฏิวัติคราวนั้นได้ซีดจางเลือนหายเข้าไปในอดีตกาล จนแทบไม่เป็นที่รู้จักจดจำของคนรุ่นใหม่ๆ อีกต่อไป ขณะที่พวกสมาชิกของชนชั้นนำผู้มั่งคั่งเที่ยวตั้งข้อหาทุจริตคอร์รัปชั่นให้กันและกัน และมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชาชนราว 97 ล้านคนของประเทศก็ต้องพำนักอาศัยในสลัมทั้งในเขตเมืองและเขตชนบทด้วยรายได้ระดับใต้เส้นความยากจน
อากิโนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันเสาร์(1) สิริอายุได้ 76 ปี ภายหลังต่อสู้กับโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่มาประมาณ 1 ปี การจากไปของเธอกำลังทำให้ความฝันมลังเมลืองของเธอกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้งด้วยอารมณ์ทะลักทลายที่หวนคำนึงถึงอุดมคติต่างๆ ซึ่งเธอได้ต่อสู้มาอย่างยาวนานแม้หลังวาระดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี 6 ปีของเธอสิ้นสุดลงในปี 1992 แทนที่จะเธอจะคิดหาช่องทางต่ออายุกุมอำนาจเอาไว้ต่อไป เธอกลับรณรงค์เพื่อทำให้เป็นที่แน่ใจได้ว่า ฟิเดล รามอส ทายาทผู้สืบตำแหน่งต่อจากเธอ ไม่ได้พยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจำกัดให้เป็นประธานาธิบดีกันได้เพียงคนละสมัยเดียว

รามอสผู้นี้เอง เมื่อตอนที่ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทัพฟิลิปปินส์ และ ฮวน ปอนเซ เอนริเล รัฐมนตรีกลาโหมในเวลานั้น คือบุคคลสำคัญมากในเหตุการณ์ที่อากิโนเข้าครองอำนาจเป็นประธานาธิบดี ส่วนมาร์กอสต้องหลบหนีไปลี้ภัยที่ฮาวาย พร้อมด้วยด้วย อีเมลดา ผู้เป็นภรรยา, บุตรสาว 2 คนและบุตรชายอีก 1 คน, และสมัครพรรคพวกหลายหลาก และแล้วเขาก็เสียชีวิตที่ฮาวายในปี 1989 นอกจากนั้นในช่วงสองสามปีหลังมานี้ อากิโนก็ยังกำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วงพอๆ กัน เพื่อทำให้เป็นที่แน่ใจว่าผู้นำหญิงอีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ กลอเรีย มากาปากัล-อาร์โรโย ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน จะไม่พยายามหาหนทางยืดขยายเวลาดำรงตำแหน่งของเธอออกไปอีก

อากิโนคือผู้ที่เฝ้ากำกับติดตามเพื่อให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในปี 1987 จากนั้นก็ยังต่อสู้อย่างดุเดือดเพื่อรักษากฎหมายแม่บทฉบับนี้เอาไว้จนกระทั่งสิ้นสุดวาระการเป็นประธานาธิบดีของเธอ ถึงแม้เธอจะต้องออกคำสั่งให้กองทัพของประเทศ ที่เต็มไปด้วยจุดอ่อนข้อบกพร่อง, อาวุธยุทโธปกรณ์ขาดเขินและล้าสมัย, รวมทั้งอุดมไปด้วยการทุจริต เข้ากำจัดขัดขวางความพยายามถึง 7 ครั้งของทหารนอกแถวที่จะขับไล่เธอออกจากตำแหน่ง

ในการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของเธอเหล่านี้ เธอให้ความเชื่อถือพวกผู้นำทางทหารว่าจะมีความจงรักภักดีต่อรัฐบาล และช่วยเธอเอาชนะ “พวกจงรักภักดี” ต่อมาร์กอส ถึงแม้ผู้นำทหารเหล่านี้บางคนก็เคยอยู่ในกลุ่มในหมู่ที่มาร์กอสเคยเชื่อถือใช้สอยในช่วงการปกครองด้วยอำนาจกฎอัยการศึกเป็นเวลา 8 ปีของเขา โดยที่ในช่วงเวลานั้นเองบุคคลผู้ทรงอิทธิพลจำนวนเป็นพันเป็นหมื่นคนถูกจับกุมคุมขัง คนหนึ่งในนั้นก็คือ เบนินโญ “นินอย” อากิโน สามีของเธอเอง

ถึงแม้พลังประชาชนเป็นขบวนการที่ต่อสู้อย่างสันติโดยไม่มีการยิงปืนแม้แต่นัดเดียว แต่อากิโนก็ต้องเผชิญอันตรายที่จะถูกโค่นล้มด้วยกำลังรุนแรง ทั้งจากพวกนิยมคลั่งไคล้มาร์กอส และจากทหารนักอุดมคติซึ่งมองว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงที่แทบไม่มีความคิดว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ทั้งนี้ความพยายามก่อการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 1987 นั้น พวกผู้ก่อการการเป็นสมาชิกของขบวนการปฏิรูปกองทัพ (Reform Armed Forces Movement)

กลุ่มนี้เองที่เคยเป็นหัวหอกของพันธมิตรต่อต้านมาร์กอส หลังจากที่นินอย สามีของอากิโนถูกยิงเสียชีวิตอย่างอุกอาจ เมื่อเขาออกจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานมะนิลา (ซึ่งเวลานี้ใช้ชื่อว่า ท่าอากาศยานระหว่างประเทศ นินอย อากิโก) ขณะเดินทางกลับจากการลี้ภัยในสหรัฐฯเมื่อเดือนสิงหาคม 1983 ทั้งนี้ประมาณ 3 ปีก่อนหน้านั้น นินอยได้รับการปล่อยตัวภายหลังติดคุกในเรือนจำอยู่หลายปี เพื่อไปผ่าตัดหัวใจที่มลรัฐเทกซัส, สหรัฐฯ จากนั้นเขาและ “โกรี” อันเป็นชื่อเล่นซึ่งเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางของอากิโน ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองบอสตัน และได้ทำงานเป็นนักวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

โกรีนั้นความจริงก็สำเร็จการศึกษาจากสหรัฐฯ โดยจบชั้นมัธยมจากโรงเรียนเอกชนคาทอลิกที่เคร่งครัดมากๆ และต่อด้วยการเข้าเรียนในสถาบันอุดมศึกษาเล็กๆ ของคาทอลิกแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก แต่ระหว่างที่ใช้ชีวิตลี้ภัยในสหรัฐฯกับสามีนี้เอง เธอได้ซึมซับอุดมคติแบบประชาธิปไตยจำนวนหนึ่ง อุดมคติเหล่านี้ปรากฏให้เห็นชัดเจนในตอนที่เธอออกมาท้าทายมาร์กอส เมื่อเธอปฏิเสธไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งที่เขาประกาศจัดขึ้นมาก่อนวาระ และอ้างว่าตนเองเป็นผู้ชนะคะแนนโหวตท่ามกลางกลิ่นเหม็นโฉ่ของการโกงการเลือกตั้ง เธอยังได้สร้างเสริมความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่มีอยู่กับแวดวงชาวคาทอลิกฟิลิปปินส์ และพึ่งพาอาศัยคริสตจักรคาทอลิกที่นำโดยคาร์ดินัล ไฮเม ซิน ในเรื่องการระดมความสนับสนุนจากมวลชนวงกว้าง

ก่อนหน้าที่เธอจะลงแข่งขันกับมาร์กอสเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดี อากิโนไม่เคยได้ชื่อว่าเป็นนักคิดทางการเมืองหรือนักเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เธอก็พบว่าเพียงแค่การเชิดชูอุดมคติประชาธิปไตยก็เพียงพอที่จะใช้เป็นคำขวัญรณรงค์หาเสียง ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมหึมาที่ตะโกนสนับสนุนเธอว่า “โกรี, โกรี, โกรี” เธอยังแต่งเติมบรรยากาศให้หนักแน่นขึ้นอีกด้วยการสวมชุดสีเหลือง ซึ่งชวนให้ระลึกถึงริบบิ้นสีเหลืองที่ผู้คนพากันประดับเพื่อต้อนรับนินอย ตอนที่เขาท้าทายคำขู่และยืนยันบินกลับมายังกรุงมะนิลา ในเที่ยวบินที่มีนักหนังสือพิมพ์ต่างชาติหลายๆ คนร่วมเดินทางมาด้วย

**มรดกความเป็นเจ้าที่ดิน**

เมื่อเป็นประธานาธิบดีแล้ว อากิโนมุ่งหมายที่จะฟื้นฟูสถาบันต่างๆ ทางประชาธิปไตยให้กลับเข้มแข็งขึ้นใหม่ เป็นต้นว่า จัดการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้งทำให้ระบบศาลสถิตยุติธรรมเป็นอิสระจากแรงกดดันของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้วอากิโนก็แทบจะไม่ได้ทำอะไรกับเรื่องบางเรื่องที่ควรจะถือเป็นความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่สุดของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการปฏิรูปที่ดิน ทั้งนี้การปฏิรูปที่ดินย่อมจะเป็นปฏิปักษ์ต่อประเพณีและต่อผลประโยชน์ทุกๆ อย่างของตระกูลของเธอเองซึ่งเป็นเจ้าที่ดินผู้มั่งคั่ง โดยมีไร่อ้อยผืนใหญ่มหึมาที่ ลุยซิตา ทางตอนกลางของเกาะลูซอน และอยู่ทางเหนือของกรุงมะนิลา

ขณะที่เธอพยายามหาทางรื้อฟื้นเสริมสร้างสิ่งที่ควรถือเป็นเครื่องประดับประดาทั้งหลายของระบอบประชาธิปไตย แต่พวกที่ช่างระแวงสงสัยย่อมตระหนักดีว่าองค์ประกอบของระบบเดิมๆ ยังคงดำรงอยู่ เป็นต้นว่า พวกผู้ปกครองคฤหาสน์ชนบทที่ถือครองที่ดินไร่นาขนาดมหึมา, ระบบสมัครพรรคพวกแบบเก่าๆ, พวกผู้สืบทอดมรดกทรัพย์สมบัติไม่ว่าจะเป็นด้านธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม, น้ำตาล มะพร้าวและกล้วย, เบียร์ สายการบินและโรงไฟฟ้า

กลุ่มสมัครพรรคพวกกลุ่มหนึ่งอาจจะเข้าแทนที่อีกกลุ่มหนึ่ง ทว่าแบบแผนแห่งการครองอำนาจโดยกลุ่มสมัครพรรคพวกยังคงดำรงอยู่อย่างยืนยาวต่อมา ดังที่นักรัฐศาสตร์ พอล ฮัตช์ครอฟต์ ชี้เอาไว้ว่า มันเป็น “ระบบของทุนนิยมค่าเช่า”(a system of rent capitalism) ซึ่งตั้งอยู่ได้ก็ด้วยการที่พวกกลุ่มประโยชน์แบบคณาธิปไตยทั้งหลายเข้ามาปล้นสะดมกลไกของรัฐ เขากล่าวต่อไปว่า การใช้คำว่า “ทุนนิยมแห่งการแบ่งทรัพย์ที่กลุ่มโจรปล้นกันมาได้” (booty capitalism) น่าจะบรรยายให้เห็นชัดเจนว่าพวกคณาธิปไตยมีการ “ปล้นสะดมรัฐ” กันอย่างไร

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อากิโนนั้นดูหมิ่นเหยียดหยามลูกพี่ลูกน้องของเธอที่ชื่อ เอดูอาร์โด “ดันดิง” โกฮวงโก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าพ่อด้านมะพร้าว และเป็นคนสนิทที่สุดคนหนึ่งของมาร์กอส ทว่าเธอเองก็ถือกำเนิดขึ้นในระบบนี้พอๆ กันกับเขานั่นแหละ ตระกูลโกฮวงโกของเธอและ “ดันดิง” นั้นเป็นพวกเลือดผสมจีน, สเปน, และมาเลย์ เช่นเดียวกับชาวฟิลิปปินส์ผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดจำนวนมาก และก็เฉกเช่นเดียวกับผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดเหล่านั้น อากิโนสามารถที่จะหลบไปพักผ่อนอย่างสงบสบายที่ลุยซิตา คฤหาสน์ชนบทที่เป็นเจ้าของไร่อ้อยสุดลูกหูลูกตา ซึ่งเธอจะไม่มีทางยอมสละละทิ้งเพื่อเดินหน้าโครงการปฏิรูปที่ดิน ตามที่พลพรรคต่อต้านมาร์กอสที่ยกย่องบูชาเธอเหลือเกินได้พยายามเรียกร้องผลักดันให้ดำเนินการ

เมื่อดูจากความพยายามฟื้นฟูเปลือกนอกแห่งสถาบันทางประชาธิปไตยทั้งหลายนั้น อากิโนก็ดูเหมือนจะเป็นพวกนิยมอเมริกันอย่างแรงกล้า รัฐสภาสหรัฐฯพากันยืนปรบมือให้เกียรติอย่างกึกก้องภายหลังเธอไปกล่าวปราศรัยที่นั่น นอกจากนั้นรัฐสภาแห่งนี้ยังรีบลงมติให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินแก่รัฐบาลของเธอเป็นมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ กระนั้นก็ตามที เธอกลับมีท่าทีเย็นชาในเรื่องฐานทัพอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานทัพอากาศคลาร์ก ที่เมืองแองเจลิสซิตี้ ซึ่งอยู่ระหว่างมะนิลากับลุยซิตา และฐานทัพเรือในอ่าวซูบิก ซึ่งอยู่ที่เมืองโอลองกาโป ที่อยู่ข้ามทิวเขาไปทางตะวันตกของแอลเจลิสซิตี้ ในตอนนั้นคลาร์กคือฐานทัพอากาศนอกประเทศที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน อ่าวซูบิกก็เป็นฐานทัพเรืออเมริกาใหญ่ที่สุดที่อยู่นอกสหรัฐฯ

การโฆษณาชวนเชื่อโจมตีอเมริกันที่ดังอึงคะนึงอยู่ในเวลานั้น ทำให้คุณประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ฟิลิปปินส์จะได้รับจากการให้สหรัฐฯใช้ฐานทัพเหล่านี้ต่อไป ดูด้อยค่าลงไปเมื่อต้องแลกกับการต่อต้านที่จะต้องระเบิดออกมา พวกวุฒิสมาชิกทรงอิทธิพลของฟิลิปปินส์ต่างแสดงท่าทีในที่สาธารณะ ว่าประณามคัดค้านฐานทัพอเมริกัน ถึงแม้อากิโนได้อนุมัติเห็นชอบกับสนธิสัญญาที่ทำกับสหรัฐฯฉบับหนึ่ง ซึ่งในทางพฤตนัยก็เสมือนการให้สหรัฐฯเช่าฐานทัพเหล่านี้จากฟิลิปปินส์เป็นเวลา 10 ปีด้วยมูลค่าปีละกว่า 200 ล้านดอลลาร์ ทว่าการลงคะแนนให้สัตยาบันในวุฒิสภาฟิลิปปินส์เมื่อเดือนกันยายน 1991 กลับได้เสียงไม่ถึงสองในสาม จึงเป็นอันว่าสนธิสัญญาดังกล่าวนี้ต้องตกไป แม้ยังคงเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่า รัฐสภาอเมริกันก็อาจจะไม่ยอมอนุมัติข้อตกลงฉบับนี้เช่นกัน

ในอีกสองสามเดือนถัดจากนั้น ฐานทัพอากาศคลาร์กก็ถูกปล้นถูกโจรกรรมอย่างเป็นระบบ โดยที่พวกผู้บังคับบัญชาทหารฟิลิปปินส์พากันเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ กระทั่งอากิโนเองก็ทำไม่รู้ไม่ชี้หันหน้าไปทางอื่น อย่างไรก็ตาม การที่อเมริกาสูญเสียฐานทัพไป ไม่ได้หมายความว่าความเป็นพันธมิตรระหว่างฟิลิปปินส์-อเมริกันจะจบสิ้นไปด้วย ถึงแม้จะถูกพวกผู้ประท้วงฝ่ายซ้ายโจมตีอย่างหนักหน่วงอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลอากิโนจะหันมาเห็นดีเห็นงามกับพวกคอมมิวนิสต์ ที่ได้รวมตัวกันเป็น “กองทัพประชาชนใหม่” (New People’s Army หรือ NPA)

โฮเซ มาเรีย ซีซอน ผู้นำคอมมิวนิสต์ ถูกจำคุกตั้งแต่ยุคมาร์กอสด้วยข้อหากระทำผิดกฎหมายต่อต้านการล้มล้างระบอบการปกครอง เมื่ออากิโนยกเลิกกฎหมายดังกล่าว ซีซอนก็ได้เป็นอิสระ ทว่าต่อมาอากิโกก็อนุมัติให้ตั้งข้อหาใหม่ๆ ต่อเขา จากการไปกล่าวปราศรัยยุยงให้ทำการปฏิวัติระหว่างอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ อีก 5 ปีต่อมาคือในปี 1991 ขณะที่ “โจมา” ซีซอนลี้ภัยในต่างแดน เธอได้อนุมัติให้กองทัพดำเนิน “ยุทธการสายฟ้าฟาด” (Operation Thunderbolt) ซึ่งมีการใช้กำลังทหารรวมทั้งฝูงเฮลิคอปเตอร์ เข้าโจมตีที่ซ่อนและที่มั่นต่างๆ ของเอ็นพีเอในแถบเทือนเขาและหุบเขาของเกาะเนกรอส บังคับให้ประชาชน 35,000 คนต้องหลบหนีออกจากบ้านเรือนของพวกเขาเอง

ถึงแม้รัฐบาลของเธอเปิดการรุกโจมตีปราบปรามเอ็นพีเอ ตลอดจนพวกจรยุทธ์มุสลิมในภาคใต้ของประเทศ แต่มันก็ไม่ได้ทำลายความเชื่อความศรัทธาของอากิโนในอุดมคติและสถาบันแบบประชาธิปไตยแต่อย่างใด ด้วยจิตวิญญาณเช่นนี้เอง เธอจึงสนับสนุนความเคลื่อนไหวเพื่อบีบบังคับให้ประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราดา ผู้แปดเปื้อนการทุจริตคอร์รัปชั่น ต้องลาออกจากตำแหน่ง เอสตราดาหมดอำนาจลงจริงๆตอนต้นปี 2001 ภายหลังเกิดการชุมนุมเดินขบวนที่มีขนาดใหญ่โตมาก และถูกเรียกกันว่าเป็น “พลังประชาชน 2”

ด้วยจิตวิญญาณเดียวกันนี้เช่นกัน เธอยังได้ออกมาเรียกร้องเมื่อปีที่แล้วให้อาร์โรโยลาออก ทั้งนี้อาร์โรโยได้เลื่อนจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีมาเป็นประธานาธิบดีภายหลังการขับไล่เอสตราดา และต่อมาเธอก็ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนเข้าสู่ตำแหน่งนี้ด้วยสิทธิ์ของตนเองอย่างเต็มภาคภูมิในปี 2004

ไม่ว่าบริบทของการเคลื่อนไหวในแต่ครั้งของเธอจะเป็นอย่างไร เป้าหมายของอากิโนก็ยังคงเป็นการมุ่งธำรงรักษาอุดมคติของ “พลังประชาชน 1” เสมอมา

“พวกเราชาวฟิลิปปินส์ได้แสดงให้โลกเห็นแล้วว่าพวกเราเป็นคนชนิดไหน” เธอกล่าวในเดือนกุมภาพันธ์ 1996 หรือ 10 ปีหลังจากช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์คราวนั้น “พวกเราเป็นคนกล้าหาญ พวกเราเป็นคนเคร่งครัดศาสนา, และพวกเรารู้ว่าจะทำงานโดยใช้กระบวนการแบบสันติได้อย่างไร”

โดนัลด์ เคิร์ก เคยไปทำข่าวการปฏิวัติพลังประชาชนปี 1986 จากนั้นก็ได้ไปเยือนฟิลิปปินส์อีกหลายครั้ง และเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ 2 เล่ม คือ Looted: the Philippines After the Bases (1998) และ Philippines in Crisis: US Power versus Local Revolt (2005)
กำลังโหลดความคิดเห็น