เอเจนซี - ราคาน้ำมันทะยานกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 เดือน ขยับเหนือ 68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันจันทร์(1) ตามข้อมูลกิจการทางภาคอุตสาหกรรมโลกที่ดีขึ้น ที่ส่งให้วอลล์สตรีทขยับขึ้นไปในแดนบวกเช่นกัน โดยเฉพาะดาวโจนส์ที่ปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมเลยทีเดียว
จากข้อมูลพบว่า ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ในเดือนพฤษภาคม หดตัวน้อยลงกว่าที่คาดหมายไว้ ส่วนกิจกรรมอุตสาหรรมในจีนขยายตัว ขณะที่ยุโรปพบว่าการถดถอยทางภาคโรงงานกำลังคลี่คลาย ปัจจัยเหล่านี้ได้ผลักให้ราคาน้ำมันขยับขึ้น ในความหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะทำให้อุปสงค์ทางพลังงานจะปรับขึ้นตามไปด้วย
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 2.27 ดอลลาร์ ปิดที่ 68.58 ดอลลาร์ สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน หลังจากช่วงหนึ่งของการซื้อขายทะยานขึ้นไปถึง 68.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่เบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน เพิ่มขึ้น 2.45 ดอลลาร์ ปืดที่ 67.97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ในรายงานหนึ่งระบุว่า แม้การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐฯจะลดลง 0.1 เปอร์เซ็นต์ ในเดือนเมษายน แต่ไม่เลวร้ายอย่างที่กังวล แถมตัวเลขรายได้ของผู้บริโภคมะกันยังเพิ่มขึ้น 0.5 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าที่คาดหมายไว้ ขณะที่การใช้จ่ายภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเดียวกันเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนถึง 0.8 เปอร์เซ็นต์ ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันจันทร์(1) ทะยานขึ้นกว่า 200 จุด สืบเนื่องจากความมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจมีน้ำหนักเหนือกว่าการยื่นล้มละลายของเจเนอรัล มอเตอร์ส บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของประเทศ
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 221.11 จุด (2.60 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,721.44 จุด สูงสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 23.73 จุด (2.58 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 942.87 จุด สูงสุดในรอบ 7 เดือน แนสแดก เพิ่มขึ้น 54.35 จุด (3.06 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,828.68 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปรับตัวได้เหตุนักลงทุนคาดการณ์ไว้แล้วว่าจีเอ็มคงไม่พ้นต้องยื่นขอล้มละลาย และนับเป็นการปิดในแดนบวกต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน ตามความหวังว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยโลกกำลังคลี่คลาย