เอเอฟพี - กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกออกมาเตือนเมื่อวันอาทิตย์ (26) ว่าวิกฤตเศรษฐกิจโลกกำลังกลายเป็น "ความหายนะของมนุษยชาติ" และเรียกร้องให้บรรดาสมาชิกเร่งจัดส่งความช่วยเหลือตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ รวมทั้งเพิ่มความช่วยเหลือให้แก่ผู้ทีได้รับผลกระทบสูงสุดด้วย
ในช่วงท้ายของการประชุมประจำฤดูใบไม้ผลิที่กรุงวอชิงตันปีนี้ ไอเอ็มเอฟและเวิลด์แบงก์บอกกับประเทศสมาชิก 185 รายของตนว่า วิกฤตในครั้งนี้ซึ่งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ไดเทำให้ประชาชนมากกว่า 50 ล้านคนจมดิ่งลงสู่สภาพความยากจนอย่างสุดแสน
"เศรษฐกิจโลกนั้นย่ำแย่ลงไปอย่างรวดเร็ว ... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกประเทศกำลังพัฒนาต้องเผชิญหน้ากับผลต่อเนื่องร้ายแรง ในเมื่อวิกฤตการเงินและเศรษฐกิจแปรเปลี่ยนมาเป็นความหายนะของมนุษย์และของการพัฒนา" คณะกรรมการร่วมเพื่อการพัฒนาของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกระบุในคำแถลงภายหลังการประชุมวันอาทิตย์
"เราจำจะต้องบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งช่วยเหลือเอื้อเฟื้อให้ประเทศเหล่านี้สามารถร่วมส่วนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก" คณะกรรมการชุดนี้ ซึ่งเป็นคณะกรรมการนำร่องของธนาคารโลกกล่าวในคำแถลง
คำแถลงยังได้เร่งรัดให้ประเทศต่าง ๆที่สัญญาจะให้ความช่วยเหลือด้านการเงิน ในระหว่างการประชุมซัมมิตกลุ่มจี 20 ที่ลอนดอนเมื่อต้นเดือนนี้ ควรที่จะส่งมอบเงินตามคำสัญญา
"เราเรียกร้องประเทศผู้บริจาคทั้งหลาย ให้เร่งการดำเนินการตามคำมั่นในเรื่องการเพิ่มเงินช่วยเหลือ และยังขอให้เราทั้งหมดพิจารณาที่จะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าที่สัญญาไว้ด้วย" คณะกรรมการชุดนี้กล่าว
ประเด็นเรื่องการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศที่กำลังพัฒนา ในการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจของโลกครั้งรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ทศวรรษ 1930 เป็นต้นมา คือประเด็นการประชุมที่สำคัญที่สุดในการประชุมคณะกรรมการนำร่องชุดนี้ และก็เป็นการปิดท้ายการประชุมรอบครึ่งปีของไอเอ็มเอฟและเวิลด์แบงก์ในครั้งนี้ที่ดำเนินมา 2 วันอีกด้วย
"ไม่มีใครรู้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะดำเนินไปเนิ่นนานเพียงไร" ประธานธนาคารโลก รอเบิร์ต เซลลิกกล่าว
แม้ว่าสถานะของธนาคารโลกยังคง "แข็งแกร่งเพียงพอที่จะช่วยเหลือประเทศคู่สัญญาได้" เซลลิกบอก แต่วิกฤตครั้งนี้ก็ทำให้เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษของสหประชาชาติ ที่กำหนดให้ลดความยากจนภายในปี 2015 ต้องประสบปัญหาว่าอาจจะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย
เมื่อวันเสาร์ธนาคารโลกยงได้ประกาศโครงการช่วยเหลือการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อันมีเป้าหมายที่จะช่วยให้ประเทศที่กำลังพัฒนาให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ทิโมธี ไกธ์เนอร์กล่าวต่อคณะกรรมการชุดนี้ว่า สหรัฐฯกำลังดำเนินการเพื่อที่จะเพิ่มความช่วยเหลือด้านการพัฒนาที่จะให้แก่อนุภูมิภาคซาฮาราในแอฟริกา เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในปีหน้า รวมทั้งจะเพิ่มความช่วยเหลือด้านอื่น ๆให้แก่ "ประชากรที่มีความอ่อนไหวต่อวิกฤตสูง โดยการให้เครื่องมือแก่เขาในการยกระดับตัวเองให้พ้นจากความยากจน"
นอกจากนี้แล้ว ก็มิได้มีประเทศใดแสดงความจำนงที่จะให้เงินช่วยเหลือเพิ่มเติมจากเม็ดเงิน 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯที่กลุ่มประเทศจี 20 แถลงร่วมกันหลังการประชุมซัมมิตที่ลอนดอน
